ในยุคที่ทุกคนต่างตื่นรู้ถึงปัญหาสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมองหาแนวทางที่ช่วยให้โลกของเรายั่งยืนกลายเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ และนี่คือที่มาของแนวคิด “พลังงานสีเขียว” ที่กำลังเป็นที่ฮิตในทุกวงการ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแม้แต่ห้างสรรพสินค้าที่ต้องการลดรอยเท้าคาร์บอนในโลกใบนี้ ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับ กรีน เยลโล่ (GreenYellow) ซึ่งไม่ใช่แค่บริษัทพลังงานแสงอาทิตย์ทั่วไป แต่ยังเป็น “Impact Maker” แห่งความยั่งยืนที่สร้างแรงบันดาลใจและเป็นผู้นำในตลาดพลังงานสีเขียวในไทยและภูมิภาค
ใครคือ กรีน เยลโล่?
กรีน เยลโล่ คือหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับโลกผ่านการให้บริการโซลาร์ PPA (Solar PPA) ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจร ที่ครอบคลุมตั้งแต่การสำรวจ ลงทุน ออกแบบ ติดตั้ง ไปจนถึงการบำรุงรักษาโซลาร์เซลล์ในระยะยาว บริษัทนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการใช้พลังงานจากแหล่งที่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนในขอบเขตที่ 1 และ 2 อีกด้วย โดยมีการนำเสนอใบรับรอง “green certificates” เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าลูกค้าได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน
พลังงานสะอาดในทุกมิติ
พลังงานสะอาดจากแสงอาทิตย์เป็นตัวเลือกที่ใครหลายคนเริ่มให้ความสนใจในช่วงหลัง ๆ เนื่องจากไม่เพียงแต่ลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว แต่ยังช่วยให้โลกของเรามีลมหายใจที่บริสุทธิ์มากขึ้น กรีน เยลโล่ เข้าใจถึงความต้องการนี้และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาระบบที่ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ลูกค้าสามารถมอนิเตอร์และตรวจสอบประสิทธิภาพการผลิตพลังงานของตนเองได้ทุกเวลา ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ธุรกิจหรือองค์กรต่าง ๆ สามารถปรับปรุงการบริหารจัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การบูรณาการความยั่งยืนในทุกระดับองค์กร
ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาหลัก กรีน เยลโล่ มองว่าความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่แนวคิด แต่ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร ทั้งในด้านการมีส่วนร่วมของพนักงานและการสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ด้วยแนวทาง “ร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก” พนักงานทุกคนที่ทำงานในบริษัทจะมีวัน EcoDay ที่มุ่งเน้นกิจกรรมเพื่อสังคม เช่น การเก็บขยะ การทำความสะอาดพื้นที่สาธารณะ หรือแม้กระทั่งการช่วยฟื้นฟูป่าชายเลน ซึ่งบางครั้งสามารถรวบรวมขยะได้ถึง 266 กิโลกรัมต่อครั้ง นับว่าเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่มองเห็นผลได้ชัดเจนในชุมชน
เป้าหมาย ESG ที่ทะเยอทะยาน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้าน ESG (Environmental, Social, Governance) กรีน เยลโล่ ได้วางแผนและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนถึงปี 2030 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนของผู้หญิงในองค์กรให้ถึง 50% และการมีซัพพลายเออร์หลักที่ผ่านมาตรฐาน Social Audits ถึง 60% นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนให้ถึงระดับที่สามารถเปิดเผยผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในองค์กรผ่าน Carbon Disclosure Project โดยมีเป้าหมายที่จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในขอบเขตที่ 1 และ 2 ภายในปี 2040 ซึ่งการดำเนินการในทุกขั้นตอนนี้เป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนให้กับโลกของเรา
การทำงานร่วมกับพันธมิตรระดับโลก
ความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีจุดยืนเดียวกันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้โครงการพลังงานสีเขียวของกรีน เยลโล่ ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือความร่วมมือกับ Schneider Electric ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดการพลังงานและเทคโนโลยีดิจิทัล การร่วมมือในครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการมอนิเตอร์และบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของธุรกิจ แต่ยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
นายสเตฟาน ดูเฟรน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์และพันธมิตร ของ กรีน เยลโล่ ประเทศไทย ได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เราให้บริการโซลูชันพลังงานสะอาดที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ ทำให้ลูกค้าของเราสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้จริง ๆ และสามารถออกใบรับรอง green certificates เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความพยายามในด้านสิ่งแวดล้อม” คำพูดเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดที่กรีน เยลโล่ ได้ทุ่มเทให้กับลูกค้าและสังคม
การถ่ายทอดความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
นอกจากการให้บริการที่เป็นเลิศในด้านพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว กรีน เยลโล่ ยังทุ่มเทในการถ่ายทอดความรู้ด้านภาวะโลกร้อนและพลังงานสีเขียวผ่านโครงการ Climate Fresk ซึ่งเปิดโอกาสให้ทีมงาน ลูกค้า พันธมิตร ซัพพลายเออร์ และนักลงทุน ได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้และตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น การจัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมสัมมนาในรูปแบบที่เป็นกันเองและเข้าใจง่ายนี้ ทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมรู้สึกว่า “การลงมือทำ” คือก้าวแรกสู่การสร้างผลกระทบเชิงบวกที่ยิ่งใหญ่
เส้นทางสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืน
การเดินหน้าสู่อนาคตที่ยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝันหรือเป้าหมายที่ไกลโพ้นอีกต่อไป แต่ก็กำลังเป็นจริงขึ้นในทุก ๆ วันผ่านความพยายามของบริษัทและองค์กรที่มีจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กรีน เยลโล่ ที่ไม่เพียงแต่ให้บริการด้านพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความหลากหลายและความยั่งยืนผ่านนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจน ภายใต้แนวทาง “ร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก” ทุกคนในองค์กรและชุมชนที่เกี่ยวข้องต่างมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดียิ่งขึ้น
นายมงคล ตั้งศิริวิช ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในภูมิภาคประเทศไทย ลาว และเมียนมา ได้ชี้ให้เห็นว่า “กรีน เยลโล่ เป็นหนึ่งใน Impact Makers ที่แท้จริง และเป็นพันธมิตรที่มีความตั้งใจร่วมกันในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับทุกธุรกิจในปัจจุบัน” ความร่วมมือนี้ไม่ได้จำกัดเพียงแค่บริษัทใหญ่ ๆ เท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนสถาบันต่าง ๆ ที่ต้องการสร้างแรงกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชนและระดับประเทศ
การเดินทางของกรีน เยลโล่ ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสีเขียว ไม่ได้มีแค่เพียงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการผลิตพลังงาน แต่ยังเป็นการวางรากฐานทางสังคมที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้คนทุกคนตระหนักและมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างโลกที่ยั่งยืน ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การลดการใช้พลาสติก การเลือกใช้พลังงานทดแทน ไปจนถึงการเข้าร่วมกิจกรรม CSR ที่ช่วยเสริมสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต
ท้ายที่สุดนี้ หากเรามองย้อนกลับไปที่ความสำเร็จและความมุ่งมั่นของกรีน เยลโล่แล้ว เราจะพบว่าแนวทางในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเป็นเรื่องที่ทุกองค์กรไม่ควรมองข้าม ทุกความพยายาม แม้จะดูเล็กน้อยก็สามารถรวมตัวกันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้โลกของเรามีความสดใสและยั่งยืนต่อไปในอนาคต
ด้วยความทุ่มเทและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล กรีน เยลโล่ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำในวงการพลังงานสีเขียว แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับองค์กรและชุมชนทั่วประเทศที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เราเชื่อว่าการร่วมมือกันในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือประชาชนทั่วไป จะนำพาเราไปสู่โลกที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ การที่เราเริ่มลงมือทำและมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในทุก ๆ วัน ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการลงมือทำของแต่ละคน สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของโลกได้ในที่สุด แล้วคุณล่ะ พร้อมหรือยังที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงเพื่อโลกที่ยั่งยืน?