การแยกบริษัทใหญ่ๆ เป็นบริษัทย่อยๆ สามารถเกิดขึ้นเนื่องจากหลายสาเหตุที่สำคัญ ดังนี้:
- การจัดการและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจ: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายประเภทหรือหลายสาขาอาจพบว่าการทำงานร่วมกันแบบใหญ่ๆ มีข้อจำกัดในเรื่องของความยืดหยุ่นและสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การแยกบริษัทออกเป็นบริษัทย่อยๆ ช่วยให้สามารถจัดการแต่ละธุรกิจหรือสาขาอย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนและปรับทิศทางได้ตามความต้องการของตลาดและกลุ่มลูกค้าในแต่ละสาขาได้อย่างเหมาะสมกว่า
-
การจัดการความเสี่ยง: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงมีความเสี่ยงทางธุรกิจที่แตกต่างกัน การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อธุรกิจรวมในกรณีที่ส่วนหนึ่งของธุรกิจประสบปัญหาหรือล้มเหลว โดยบริษัทย่อยสามารถใช้ทรัพย์สินและทรัพยากรของตนเองในการดูแลและฟื้นฟูตนเอง ซึ่งการแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อธุรกิจรวมในกรณีที่ส่วนหนึ่งของธุรกิจประสบปัญหาหรือล้มเหลว โดยบริษัทย่อยสามารถใช้ทรัพย์สินและทรัพยากรของตนเองในการดูแลและฟื้นฟูตนเอง ซึ่งส่วนอื่นของบริษัทใหญ่สามารถกลับมาศึกษาและปรับปรุงรูปแบบธุรกิจหรือแผนกลยุทธ์ที่มีปัญหาได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบต่อส่วนอื่นของธุรกิจทั้งหมด
- การจัดการทรัพยากร: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงอาจมีทรัพยากรที่ต้องการใช้ร่วมกัน เช่น ทรัพยากรบุคคล การเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยี หรือการใช้สถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถจัดการทรัพยากรเหล่านี้ให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการนำทรัพยากรมาใช้ในกิจกรรมธุรกิจแต่ละประเภทได้อย่างมีประสิทธิผล
- การจัดการกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจ: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงอาจต้องปรับตัวเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและเกณฑ์การปฏิบัติทางธุรกิจที่แตกต่างกันในแต่ละสาขาธุรกิจ การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถจัดการกับกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแต่ละสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับแต่ละภูมิลำเนาที่เฉพาะเจาะจง
- การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงอาจมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งและสอดคล้องกับความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ โดยบริษัทย่อยสามารถพัฒนาและปรับทิศทางกลยุทธ์การตลาดและการบริการให้เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าและตลาดเป้าหมายของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยๆ อาจเป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการสร้างความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยยังสามารถช่วยให้มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและการตัดสินใจที่รวดเร็วและเอื้อต่อการเติบโตของแต่ละสาขาธุรกิจได้ดีขึ้นเช่นกัน อีกทั้งยังมีประโยชน์ทางการเงิน โดยบริษัทย่อยที่แยกออกมาสามารถมีโครงสร้างการเงินแยกต่างหาก รวมถึงการรายงานผลกำไรและขาดทุนตามแต่ละสาขาธุรกิจ ซึ่งช่วยให้สามารถตรวจสอบผลประกอบการของแต่ละสาขาแยกกันได้อย่างชัดเจน
ในทางกลยุทธ์ธุรกิจรวมอีกด้านหนึ่ง การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยยังสามารถเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเติบโตและการขยายกิจกรรมธุรกิจของบริษัท โดยสามารถพัฒนาและขยายกิจกรรมในสาขาที่มีศักยภาพและโอกาสสำหรับการเติบโตในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยย่อมมีความซับซ้อนในการบริหารจัดการและการดูแลธุรกิจแต่ละสาขา ซึ่งต้องมีการกำหนดแนวทางและการสื่อสารที่ชัดเจนระหว่างบริษัทอย่างมาก เพื่อให้มีการประสบความสำเร็จและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างสาขาและบริษัทย่อย จำเป็นต้องมีการกำหนดกรอบควบคุมและการสื่อสารที่เป็นระบบอย่างมีประสิทธิภาพภายในองค์กร
ในสรุป การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยมีหลายประโยชน์ เช่น การจัดการและความยืดหยุ่นในการดำเนินธุรกิจที่มีความซับซ้อน การลดความเสี่ยงทางธุรกิจ การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การปฏิบัติตามกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเติบโตและการขยายกิจกรรมธุรกิจของบริษัท อย่างไรก็ตาม การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยย่อมมีความซับซ้อนและความต้องการการบริหารจัดการที่มากขึ้น ซึ่งจำเป็นต้องมีการวางแผนและการสื่อสารที่ถูกต้องเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์นี้ได้อย่างเต็มที่
ข้อดีข้อเสียของการแยกบริษัทย่อยๆ
การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยๆ มีข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาดังนี้:
ข้อดี:
1. การลดความเสี่ยง: การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยช่วยลดความเสี่ยงที่จะกระทบต่อธุรกิจรวมในกรณีที่ส่วนหนึ่งของธุรกิจประสบปัญหาหรือล้มเหลว การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถใช้ทรัพย์สินและทรัพยากรของตนเองในการดูแลและฟื้นฟูตนเอง ในขณะที่ส่วนอื่นของบริษัทใหญ่สามารถปรับปรุงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือแผนการตลาดได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบต่อส่วนอื่นของธุรกิจทั้งหมด
- การจัดการทรัพยากร: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงอาจมีทรัพยากรที่ต้องการใช้ร่วมกัน เช่น ทรัพยากรบุคคล การเชื่อมโยงระบบเทคโนโลยี หรือการใช้สถานที่และอุปกรณ์ต่างๆ การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถจัดการทรัพยากรเหล่านี้ให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการนำทรัพยากรมาใช้ในกิจกรรมธุรกิจแต่ละประเภทได้อย่างมีประสิทธิผล
-
การจัดการกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจ: กฎหมายและเรื่องทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแต่ละสาขา การแยกออกเป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถจัดการกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและการปฏิบัติตามมาตรฐานธุรกิจในแต่ละสาขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากกฎหมายและกฎระเบียบธุรกิจอาจแตกต่างกันระหว่างสาขาธุรกิจต่างๆ การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยช่วยให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายและเรื่องทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมต่อแต่ละสาขา และลดความเสี่ยงทางกฎหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทรวม
ข้อเสีย:
- ความซับซ้อนในการบริหารจัดการ: การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยอาจเพิ่มความซับซ้อนในการบริหารจัดการ เนื่องจากต้องมีการจัดสรรทรัพยากรและบุคลากรเพิ่มขึ้นสำหรับแต่ละบริษัทย่อย นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต้องสื่อสารและประสานงานอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างบริษัทย่อยและสำนักงานใหญ่เพื่อให้ทำงานร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งอาจเป็นที่ท้าทายในกรณีที่บริษัทย่อยตั้งอยู่ในพื้นที่ทางธุรกิจที่แตกต่างกันทางภูมิภาคหรือประเทศต่างๆ การสื่อสารและการบริหารจัดการอาจเป็นอุปสรรคที่ต้องแก้ไขให้เหมาะสม เพื่อให้บริษัทย่อยทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การแบ่งปันและความเชื่อมโยง: การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยอาจส่งผลให้มีความยากลำบากในการแบ่งปันข้อมูลและความร่วมมือระหว่างบริษัทย่อย บริษัทย่อยแต่ละแขนงอาจเริ่มพัฒนาและเรียนรู้จากกิจกรรมของกันเอง ซึ่งอาจทำให้ขาดการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ที่มีประโยชน์จากส่วนอื่นของธุรกิจ
- ความเชื่อมโยงแบบธุรกิจรวม: บริษัทใหญ่ที่มีกิจกรรมธุรกิจหลายแขนงอาจสร้างความเชื่อมโยงแบบธุรกิจรวมที่เข้มงวดกว่า ซึ่งอาจช่วยให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างสาขาและสร้างความได้เปรียบจากศักยภาพส่วนรวม
- การสื่อสารและบรรลุเป้าหมายร่วมกัน: การแยกบริษัทใหญ่อาจทำให้มีความยากลำบากในการสื่อสารและประสานงานระหว่างสาขาและสำนักงานใหญ่ เพราะส่วนที่แยกออกมาจะมีความเป็นอิสระในการตัดสินใจและการดำเนินงาน ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์และการทำงานร่วมกันไม่เสถียรภาพเท่าที่ควร การสื่อสารที่ไม่เพียงพอหรือการไม่มีการแบ่งปันข้อมูลอาจทำให้บริษัทย่อยไม่สามารถทำงานร่วมกันในทิศทางที่เป็นประโยชน์สูงสุดได้
- ความยุ่งเหยิงในการตลาดและการต่อกรกับลูกค้า: การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยอาจทำให้เกิดความยุ่งเหยิงในการตลาดและการต่อกรกับลูกค้า แต่ละบริษัทย่อยอาจมีกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่แตกต่างกัน ทำให้ความสอดคล้องและความเป็นไปได้ของบริษัทใหญ่ทั้งหมดลดลง
- ความสูญเสียต้นทุนและความซ้ำซ้อน: การแยกบริษัทใหญ่อาจทำให้เกิดความสูญเสียต้นทุนในกระบวนการต่างๆ เช่น การสร้างโครงสร้างองค์กรแยกต่างหาก การจัดการทรัพยากรบุคคล การสื่อสารภายใน และการทำซ้ำซ้อนของกิจกรรมที่มีความคล้ายคลึงกันในแต่ละบริษัทย่อย ซึ่งอาจส่งผลให้มีความไม่เป็นไปตามที่คาดหวังในเรื่องของประสิทธิภาพและประสิทธิผลทางธุรกิจ
ในท้ายที่สุด ความเหี่ยวย่นในองค์กร: การแยกบริษัทใหญ่เป็นบริษัทย่อยอาจส่งผลให้เกิดความเหี่ยวย่นในองค์กร ทั้งด้านความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมและความเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่เคยเป็นรวมกัน การแยกบริษัทย่อยอาจทำให้เกิดการแข่งขันหรือความไม่เข้าใจในเรื่องของวิสัยทัศน์ และเกิดความแตกแยกอารมณ์หรือการตัดสินใจที่ไม่สอดคล้องกันระหว่างบริษัทย่อย
ควรพิจารณาทั้งข้อดีและข้อเสียเหล่านี้เพื่อให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการแยกบริษัทใหญ่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และวัตถุประสงค์ของธุรกิจในขณะเดียวกัน การวางแผนและการดำเนินการในการแยกบริษัทย่อยควรพิจารณาถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับองค์กรในทางกลยุทธ์และการเจริญเติบโตในอนาคต