iPhone 5 ที่ความจุของสตอเรจเป็น 32GB จะมีต้นทุนชิ้นส่วนที่ใช้ในการผลิตอยู่ที่ 217 เหรียญฯ หรือประมาณ 6,500 บาท และรุ่น 64GB จะมีค่าชิ้นส่วนบวกกับค่าผลิตจากโรงงานอยู่ที่ 238 เหรียญฯ หรือประมาณ 7,200 บาท หากเปรียบเทียบกับ BOM ของ iPhone 4S จะแค่ 188 เหรียญฯ หรือประมาณ 5,650 บาท ต่ำกว่า iPhone 5 ถึง 11 เหรียญ (ประมาณ 330 บาท) ซึ่งต้นทุนของไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทำให้สูงกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ก็คือ เทคโนโลยีของจอแสดงผล และชิป LTE โดยจอแสดงผล+ระบบสัมผัสที่ฝังเข้าไปในจอขนาด 4 นิ้วจะมีต้นทุนตกชิ้นละ 44 เหรียญฯ (ประมาณ 1,320 บาท) หรือคิดเป็น 22% ของต้นทุน ตามด้วยชิปไร้สายที่มีราคา 34 เหรียญต่อเครื่อง (ประมาณ 1,020 บาท) คิดเป็น 17% ของต้นทุน ในขณะที่ชิ้นส่วนทางด้านเซ็นเซอร์ และกลไกต่างๆ ก็มีต้นทุนตามมาเป็นอันดับสามคือ 33 เหรียญฯ (ประมาณ 1,000 บาท) และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ชิป A6 ที่แอปเปิ้ลพัฒนาเองจะมีราคา 17.5 เหรียญฯ (ประมาณ 525 บาท) แพงกว่า A5 2.5 เหรียญฯ (ประมาณ 75 บาท) หากพิจารณากันง่ายๆ ต้นทุนชิ้นส่วนการผลิตที่มีการเปิดเผยออกมานี้ น่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับ Apple เนื่องจากทางบริษัทจะจำหน่าย iPhone 5 ให้กับโอเปอเรเตอร์ในราคา 199 เหรียญฯ ต่อเครื่องอยู่แล้ว แต่ต้องไม่ลืมว่า มันมีค่าแรกเข้าในการสมัครเป็นสมาชิกของโอเปเรเตอร์ เพื่อให้ได้ iPhone 5 ไปใช้ ซึ่งจะต้องจ่ายให้กับ Apple เต็มราคา หรือลดนิดหน่อย (เริ่มต้นที่ 199 เหรียญฯ ต่อเครื่อง) โดย Apple จะได้เงินส่วนนี้กลับมาในระหว่างสองปีที่ลูกค้าลงทะเบียนกับโอเปอเรเตอร์ ต้นทุนนี้ยังเป็นแค่ตัวเลขประมาณการ ในเบื้องต้น แต่หากต้องการตัวเลขที่ใกล้เคียงของจริงมากกว่านี้ คงต้องรอการผ่าพิสูจน์ชิ้นส่วนกันอีกทีโดย iFixit ในช่วงปลายสัปดาห์นี้