ในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ กับจีนกลับมาร้อนแรงอีกครั้ง ล่าสุด Donald Trump ได้ออกมาตรการเว้นภาษีนำเข้าสินค้าสำคัญอย่าง โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และชิปอิเล็กทรอนิกส์ จากมาตรการตอบโต้ทางภาษีที่มีการบังคับใช้ก่อนหน้านี้ ถือเป็นข่าวดีที่ช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตทั่วโลก
แม้ว่าทรัมป์จะยังคงจุดยืนในการกดดันจีนเพื่อเจรจาเงื่อนไขที่สหรัฐฯ มองว่า “เป็นธรรมมากขึ้น” แต่เขาก็เลือกผ่อนปรนกับกลุ่มสินค้ากลุ่มเทคโนโลยี เพราะรู้ดีว่าอุปกรณ์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญกับผู้บริโภคชาวอเมริกัน และยังเชื่อมโยงกับซัพพลายเชนระดับโลก
การเว้นภาษีดังกล่าวมีผลโดยตรงกับแบรนด์ใหญ่อย่าง Apple, Intel และผู้ผลิตสมาร์ตโฟนรายต่าง ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นหากไม่มีการเว้นภาษี นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้บริโภคไม่ต้องแบกรับภาระราคาสินค้าที่สูงขึ้นในอนาคตอันใกล้
ผลกระทบจากการตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลเชิงบวกในทันที ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียตอบรับข่าวดีด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นแรง ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่า การเว้นภาษีเป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ ยังคงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย การเว้นภาษีครั้งนี้ก็ส่งผลทางอ้อมเช่นกัน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตเพื่อส่งออกที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไอที ทั้งนี้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าท่าทีของสหรัฐฯ อาจส่งผลต่อการวางแผนยุทธศาสตร์ทางการค้าของประเทศคู่ค้าในอนาคต
แม้ว่าเรายังไม่อาจคาดเดาได้แน่ชัดว่าสงครามการค้าระลอกนี้จะจบลงอย่างไร แต่การเว้นภาษีของทรัมป์ก็ถือเป็นการลดแรงตึงเครียดไปหนึ่งระดับ และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาเชิงสร้างสรรค์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ
หากใครเป็นสายไอที ชอบติดตามข่าวเทคโนโลยี หรือทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การเคลื่อนไหวนี้ถือว่าส่งผลต่อคุณแบบเต็ม ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว ราคาสินค้าและอุปกรณ์ที่เราใช้อยู่ทุกวันก็จะได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ติดตามกันต่อว่าทรัมป์จะขยับหมากอะไรต่อไป และจีนจะโต้ตอบอย่างไร เพราะสงครามการค้าครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่ผู้แพ้หรือผู้ชนะ แต่มีผลต่อพวกเราทุกคนที่อยู่ในโลกของการเชื่อมต่อไร้พรมแดน