ช่วงนี้ถ้าใครติดตามตลาดทองคำอยู่ จะเห็นว่าราคาทองพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนสร้างจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง และทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “นี่คือภาวะฟองสบู่เหมือนยุค 1980 หรือเปล่า?” หรือจริง ๆ แล้ว ครั้งนี้ทองกำลังเดินทางสู่เสถียรภาพระยะยาวด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา
ย้อนกลับไปช่วงปี 1980 ราคาทองเคยพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเวลานั้น เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงในสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงการเก็งกำไรอย่างหนัก จนในที่สุดราคาทองก็ดิ่งลงแบบฮวบฮาบหลังจากนั้นไม่นาน
แต่ถ้ามาดูการขึ้นของทองในปี 2024 นี้ จะเห็นว่าสถานการณ์มีความต่างอย่างชัดเจน
✔️ เงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง แม้จะไม่รุนแรงเท่ายุค 80 แต่ก็ทำให้สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำกลับมาได้รับความนิยม
✔️ ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มกวาดซื้อทองเพิ่ม เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์
✔️ ภาวะความไม่แน่นอนระดับโลก ทั้งสงครามในยูเครน-รัสเซีย ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ล้วนส่งเสริมให้ทองกลายเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนไว้วางใจ
และที่น่าสนใจคือ ปัจจุบัน ทองคำได้รับแรงหนุนจากความต้องการจริงมากกว่าการเก็งกำไรล้วน ๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศเกิดใหม่ รวมถึงการใช้ทองในการพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ในอุตสาหกรรมไฮเทค ที่มีความต้องการทองในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง
นักวิเคราะห์จาก Investing.com หลายรายยังเห็นตรงกันว่า การเพิ่มขึ้นของราคาทองในรอบนี้มีโอกาส “ยืนระยะ” ได้ยาวกว่ารอบก่อน เพราะมีรากฐานจาก “เศรษฐกิจจริง” ไม่ใช่แค่กระแสชั่วคราว แม้จะมีการปรับฐานระหว่างทาง แต่แนวโน้มระยะยาวยังเป็นบวก
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป
-
หากมองหาการลงทุนระยะยาว ทองยังถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะในช่วงที่โลกยังเผชิญความไม่แน่นอน
-
ไม่ควรเทเงินทั้งหมดในคราวเดียว ควรทยอยสะสม (DCA) และติดตามปัจจัยเศรษฐกิจควบคู่เสมอ
-
การลงทุนผ่านกองทุนทอง ETF หรือกองทุนรวมทองคำอาจเหมาะกับมือใหม่มากกว่าการถือทองแท่งเอง
สรุป
แม้ราคาทองในปัจจุบันจะดูคล้ายกับช่วงปี 1980 ในแง่ของการพุ่งขึ้นแรง แต่สิ่งที่ต่างคือ “ความแข็งแรงของพื้นฐาน” และ “บทบาทของทองในเศรษฐกิจยุคใหม่” ทำให้รอบนี้อาจเป็นการขึ้นที่ยืนระยะได้มากกว่าเดิม ไม่ใช่เพียงแค่ระเบิดเวลารอวันแตกเหมือนในอดีต