ในไตรมาสแรกของปีนี้ การลงทุนใน Gold ETF (กองทุนรวมทองคำ) กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมียอดเงินไหลเข้าสูงที่สุดในรอบ 3 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนที่เริ่มหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่อดีตประธานาธิบดี Donald Trump มีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนและประเทศคู่แข่งอื่น ๆ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความเสี่ยงของตลาดการเงินทั่วโลก
ข้อมูลจาก World Gold Council ระบุว่าเฉพาะแค่ Q1 ปีนี้ มีเงินไหลเข้าสู่ Gold ETF ทั่วโลกมากกว่า 8,000 ล้านดอลลาร์ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคมซึ่งตรงกับช่วงที่ข่าวลือเรื่องนโยบายภาษีของ Trump เริ่มเป็นกระแส นักลงทุนที่เคยถือหุ้นหรือลงทุนในตลาดคริปโตฯ ต่างทยอยโยกเงินเข้าสู่ทองคำแทน เพราะถือว่าเป็น Safe Haven ที่ค่อนข้างมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอน
สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่รายใหญ่เท่านั้นที่เข้ามาในตลาดทองคำ ETF แต่ยังรวมถึงนักลงทุนรายย่อยที่มองเห็นความเสี่ยงในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่ดัชนีเริ่มผันผวนตั้งแต่ต้นปี โดยกองทุนที่ได้รับความนิยม ได้แก่ SPDR Gold Shares (GLD), iShares Gold Trust (IAU) และ Aberdeen Standard Physical Gold Shares ETF (SGOL)
นักวิเคราะห์เชื่อว่า หากนโยบายเศรษฐกิจของ Trump ยังคงแนวทางเดิม และสงครามการค้ารอบใหม่ปะทุขึ้นจริง ราคาทองคำอาจไปแตะระดับสูงสุดในรอบหลายปี และกระแสการลงทุนใน Gold ETF จะยังคงแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคืออัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ที่ยังไม่ปรับขึ้นตามคาด ซึ่งทำให้ต้นทุนในการถือครองทองคำต่ำลง ยิ่งดันให้ทองน่าจับตามองมากขึ้น โดยมีการคาดการณ์ว่าหากภาวะเงินเฟ้อกลับมาแรงอีกครั้ง ราคาทองก็จะยิ่งได้รับแรงหนุน
ในภาพรวม เทรนด์การลงทุนในทองคำช่วงนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ แต่มาจากความกลัวจริง ๆ ของตลาด และดูเหมือนว่าหลายฝ่ายเริ่มกลับมามองทองคำไม่ใช่แค่เป็นสินทรัพย์เก็บค่า แต่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของการเอาตัวรอดในโลกที่การเมืองเศรษฐกิจยังเปลี่ยนแปลงเร็วเกินคาด
สำหรับคนที่สนใจลงทุนในทอง ETF ตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการศึกษาข้อมูล และเลือกกองทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงของตนเอง เพราะหากแนวโน้มยังไปในทางเดียวกัน ทองคำก็ยังคงเป็นพระเอกในพอร์ตลงทุนช่วงนี้ได้ไม่ยากเลย