ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI กำลังเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างรวดเร็ว เหล่าบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสตาร์ทอัพจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ ต่างก็หันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ให้รองรับการทำงานของ AI อย่างเต็มที่ ความต้องการทางพลังงาน การประมวลผล และการระบายความร้อนในดาต้าเซ็นเตอร์เป็นสิ่งที่ต้องปรับโฉมอย่างมาก
AI และดาต้าเซ็นเตอร์: โอกาสและความท้าทาย
การเติบโตของ AI โดยเฉพาะ Generative AI ทำให้ความต้องการพลังงานสูงขึ้นอย่างมาก ในปี 2023 การลงทุนด้าน AI สูงถึง 25,200 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของเทคโนโลยีนี้ สิ่งที่ตามมาคือดาต้าเซ็นเตอร์จะต้องเพิ่มสมรรถนะเพื่อให้รองรับเวิร์กโหลดที่หนักขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การเพิ่มจำนวนแร็ค แต่ยังรวมถึงการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานใหม่ให้ตอบโจทย์พลังประมวลผลของ AI
ความหนาแน่นพลังงานที่เพิ่มขึ้น
เวิร์กโหลด AI มักจะใช้พลังงานที่สูงกว่าเวิร์กโหลดทั่วไป โดยในแร็คแต่ละตัวอาจใช้พลังงานสูงถึง 120 กิโลวัตต์ ซึ่งทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์ต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ Schneider Electric ได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบดาต้าเซ็นเตอร์ที่สามารถรองรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว รวมถึงการปรับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว
AI สร้างความร้อนจำนวนมากในกระบวนการประมวลผล การใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น ระบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ดาต้าเซ็นเตอร์ทำงานได้ดีขึ้น แต่ยังช่วยลดการใช้พลังงานและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทในเอเชียหลายแห่งกำลังเปลี่ยนมาใช้ระบบนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการพลังงานที่สูงขึ้น
สร้างความยั่งยืนให้ดาต้าเซ็นเตอร์
Schneider Electric ได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปรับโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ให้รองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น edge AI และ digital twin ทั้งนี้ยังมีการออกแบบอ้างอิงเพื่อให้ดาต้าเซ็นเตอร์สามารถปรับขยายคลัสเตอร์ AI ได้อย่างยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงานในอนาคต อีกทั้งยังมุ่งลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียนเพื่อตอบโจทย์ความยั่งยืน
การเตรียมพร้อมดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรองรับ AI นั้นไม่ได้หมายถึงแค่การปรับปรุงเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในระยะยาว โดยการเลือกใช้โซลูชันที่สามารถตอบโจทย์ทั้งด้านพลังงานและการระบายความร้อนอย่างเหมาะสม จึงเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับอนาคตของ AI