เทคโนโลยีเอไอของโลกเรามีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด และอีกไม่นานเอไอจะสามารถทำงานทดแทนแรงงานมนุษย์ได้หลายอย่าง ซึ่งนั่นก็ได้ก่อให้เกิดโปรเจ็คต์ “Worldcoin” บัตรประชาชนยืนยันความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ AI ขึ้นมาแล้ว เพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมการเงินดิจิทัลที่มีความละเอียดอ่อนและสำคัญ ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเลย
สรุปข้อมูลและรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เป็นดังนี้
- จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) เปลี่ยนโลก ล่าสุดผุดโครงการใหญ่อีกแล้ว กับ แซม อัลท์แมน (Sam Altman) ผู้บริหารโอเพนเอไอ (OpenAI) ล่าสุดเปิดตัวโครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) ที่เปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกมีบัตรประชาชนโลกแบบดิจิทัลเวิลด์ ไอดี (World ID) สามารถใช้ยืนยันตัวตนว่าเป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์หรือผู้ใช้งานปลอมในระหว่างการทำธุรกรรมออนไลน์ รวมไปถึงมีอิสระภาพทางการเงินสามารถโอนย้ายข้อมูลการเงิน โดยมีเป้าหมายให้ผู้คนทั่วโลกสามารถใช้บริการได้ภายในปี 2030
-
ผู้ใช้งานแต่ละคนจะต้องสแกนม่านตาเข้ากับอุปกรณ์ของเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) มีลักษณะคล้ายลูกโบว์ลิ่งติดตั้งกล้องสแกนม่านตาเรียกว่าอ็อบ (Orb) หลังจากได้รับข้อมูลม่านตาของมนุษย์อุปกรณ์จะทำการเข้ารหัสประจำตัวของบุคคลนั้น ๆ รหัสประจำตัวของบุคคลดังกล่าวที่ถูกสร้างขึ้นจะไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้เนื่องจากใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) หรือ การบันทึกข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized)
-
เวิลด์คอยน์ (Worldcoin) เลือกใช้การทำงานบนเครือข่ายบล็อกเชนอีเธอเรียม (Ethereum) โดยข้อมูลถูกบันทึกเป็นบล็อกเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่เมื่อบันทึกข้อมูลลงไปแล้วยากต่อการเปลี่ยนแปลงหรือถูกทำลาย
-
ก่อนหน้านี้โครงการอยู่ในช่วงทดสอบการใช้งานเบต้ามีผู้ใช้แล้วกว่า 2 ล้านคน และภายหลังจากการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันจันทร์ที่ผ่านมาเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) กำลังขยายจำนวนอุปกรณ์อ็อบ (Orb) ไปยังเมืองต่าง ๆ 35 เมืองใน 20 ประเทศ โดยผู้ที่ยอมสแกนม่านตากับอุปกรณ์ดังกล่าวจะได้รับเหรียญดิจิทัลเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) เป็นสิ่งตอบแทน
-
โครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) ก่อตั้งในปี 2021 โดยแซม อัลท์แมน (Sam Altman) ผู้บริหารโอเพนเอไอ (OpenAI) บริษัทผู้พัฒนาแชตจีพีที (ChatGPT) บริการแชตบอทปัญญาประดิษฐ์ชื่อดังที่มีบริษัท ไมโครซอฟท์ (Microsoft) ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีเข้าร่วมลงทุน และอเล็กซ์ บลาเนีย (Alex Blania) อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์บริษัท กูเกิล (Google) โครงการได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่ม Andreessen Horowitz ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยเป็นกลุ่มทุนที่เข้าไปลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชื่อดัง เช่น ทวิตเตอร์ (Twitter) และแอร์บีเอ็นบี (Airbnb)
-
ภายหลังจากการประกาศขยายการดำเนินงานของโครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) ทำให้มูลค่าเหรียญโทเคน WLD ซึ่งเป็นเหรียญในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลต่าง ๆ มูลค่าเพิ่มสูงขึ้นเป็น 5.29 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 180 บาท จากราคาเริ่มต้น 00.15 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 5 บาท โดยมีปริมาณการซื้อขาย 25.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 854 ล้านบาท บนเว็บไซต์ไบเนนซ์ (Binance)
-
เหรียญโทเคน WLD ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานในระบบนิเวศของโครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) เช่นมอบรางวัลให้กับผู้เข้าร่วมโครงการ รวมไปถึงสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเหรียญอื่น ๆ เช่น Bitcoin, USDT, ETH และเหรียญอื่นๆ ในตลาดเทรดซื้อขายเงินดิจิทัลชั้นนำ ปัจจุบันเหรียญโทเคน WLD มีอุปทานหมุนเวียนในตลาดซื้อขายเงินดิจิทัลต่ำขณะที่มีจำนวนเหรียญที่ถูกผลิตออกมามหาศาล ซึ่งอาจทำให้ราคาของเหรียญมีความผันผวนสูง
-
โครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นภาพของม่านตาผู้ใช้งานหากข้อมูลดังกล่าวหลุดรอดออกไปอาจถูกนำไปใช้ทำสิ่งผิดกฎหมาย รวมไปถึงประเด็นข้อมูลกฎหมายทางการเงินในประเทศต่าง ๆ ที่ยังไม่เปิดรับบริการที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลหรือการทำธุรกรรมทางการเงินที่ไม่ผ่านธนาคาร หากมีการเปิดใช้งานโครงการเวิลด์คอยน์ (Worldcoin)
และนี่ก็คือโปรเจ็คต์ “Worldcoin” ที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับนักลงทุนในเหรียญดิจิทัลทุกคน เพราะโครงการนี้ถือว่าช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับการลงทุนในคริปโทได้มากเลยทีเดียว และหากมีความคืบหน้าประการใดเกี่ยวกับโปรเจ็คต์นี้อีก เราจะรีบมาอัพเดทให้ทุกท่านได้ทราบก่อนใครทันที