งาน China Auto Show ปีนี้ร้อนแรงสุด ๆ เพราะไม่ใช่แค่เวทีโชว์รถใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นสนามรบของเหล่าค่ายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่หวังล้มยักษ์ใหญ่อย่าง Tesla ให้ได้ ทั้ง BYD, Xpeng, Nio และค่ายใหม่ ๆ ต่างงัดนวัตกรรมเด็ด ๆ มาโชว์ ทั้งดีไซน์ล้ำ ๆ แบตเตอรี่ระยะไกล และระบบขับขี่อัตโนมัติที่ชาญฉลาดขึ้น
แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็เริ่ม “เบรกแรง” กับเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติแบบไม่ให้ค่ายรถเหยียบคันเร่งกันเกินไป ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและการควบคุมข้อมูล ทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัว รีเซ็ตกลยุทธ์ใหม่ เพื่อให้เทคโนโลยีที่พัฒนานั้นยัง “เท่” แต่ไม่ “ผิดกฎหมาย”
ปีนี้ค่ายจีนไม่มาเล่น ๆ BYD โชว์ซีดานสุดหรูและ SUV รุ่นใหม่ที่บอกเลยว่าคิดมาเพื่อตบ Tesla Model 3 และ Model Y โดยเฉพาะ ในขณะที่ Xpeng เน้นฟีเจอร์อัจฉริยะกับราคาที่จับต้องได้ ขณะที่ Nio ขนทัพรถใหม่ที่เปลี่ยนแบตได้ใน 5 นาที และยังมีค่ายหน้าใหม่อย่าง Li Auto และ Zeekr ที่มาแรงแบบสายฟ้าแลบ
ในงานยังมีรถคอนเซ็ปต์สุดล้ำที่โชว์ให้เห็นว่าอนาคตของ EV จีนจะไปไกลแค่ไหน ทั้งในแง่ของการดีไซน์, สมรรถนะ, และเทคโนโลยีภายในรถ เช่น การเชื่อมต่อ AI, ระบบสั่งงานด้วยเสียง, และหน้าจออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายขึ้น
แม้ว่าเทคโนโลยีอัตโนมัติจะยังไม่สามารถปล่อยมือขับขี่แบบ 100% ได้ เนื่องจากจีนเริ่มตั้งกฎเข้มขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุและควบคุมข้อมูลภายในประเทศ แต่ค่ายรถก็ยังไม่หยุดพัฒนา บางค่ายเริ่มทดลองใช้ระบบ AI ที่มีความแม่นยำสูงขึ้น โดยเน้นการใช้ในเมืองและในพื้นที่ควบคุม
สิ่งที่น่าจับตามองคือ การที่จีนกำลังเดินเกมแบบ “สองขา” คือ หนึ่งด้านพัฒนานวัตกรรมแบบจัดเต็ม แต่อีกด้านก็วางกรอบเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงทางความปลอดภัยหรือการใช้งานผิดจุด ทั้งหมดนี้ส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ในประเทศ
Tesla เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะแม้จะมีโรงงาน Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้ และขายดีในจีนมานาน แต่แรงกดดันจากค่ายท้องถิ่นที่ราคาถูกกว่าและฟีเจอร์เริ่มล้ำพอ ๆ กัน ทำให้ Tesla ต้องรีบอัปเกรดทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาเพื่ออยู่รอดในตลาดที่แข่งขันกันเดือดแบบนี้
ใครที่ติดตามวงการรถยนต์ไฟฟ้าจีน บอกเลยว่าปีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งเรื่องการแข่งขันทางเทคโนโลยี การควบคุมจากภาครัฐ และการขยับของแบรนด์ระดับโลกที่ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อรับมือกับ “พายุ EV จากจีน”
ติดตามไว้ให้ดี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นใน China Auto Show ปีนี้ อาจกลายเป็นภาพสะท้อนของ “อนาคตโลกยานยนต์” ที่เราอาจจะได้เห็นทั่วโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า