ถ้าพูดถึงเรื่อง “ภาษีนำเข้า” จากสหรัฐฯ แล้ว หลายคนอาจจะมองว่าไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วผลกระทบมันใหญ่กว่าที่คิด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่โยงใยกันทั้งห่วงโซ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน ซัพพลายเออร์ โรงงานประกอบ หรือแม้แต่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ก็ได้รับผลกระทบกันทั่วโลก
ล่าสุดประเด็นร้อนที่กำลังเขย่าตลาดโลก คือการที่สหรัฐฯ โดยเฉพาะภายใต้รัฐบาล Joe Biden กำลังพิจารณาขึ้นภาษีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าจากจีน โดยคาดว่าจะเพิ่มภาษีสูงถึง 100% ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายหลักคือการลดอิทธิพลของรถ EV จากจีนในตลาดสหรัฐฯ เพราะตอนนี้แบรนด์อย่าง BYD หรือ SAIC กำลังมาแรง แถมราคายังถูกกว่ารถสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ
ทีนี้พอขึ้นภาษีหนักขนาดนี้ รถจากจีนก็จะโดนกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ระดับท้องถิ่นหรือที่ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ ผลก็คือบริษัทจีนอาจต้องเบรกแผนขยายตลาดในสหรัฐฯ และหันไปโฟกัสที่ยุโรปหรือเอเชียแทน
ส่วนผู้ผลิตจากยุโรปอย่าง Volkswagen, BMW หรือแม้แต่ญี่ปุ่นอย่าง Toyota, Honda เอง ก็ไม่รอดนะ เพราะบางรายผลิตชิ้นส่วนในจีนหรือมีโรงงานในจีนแล้วส่งเข้ามาขายในสหรัฐฯ ซึ่งก็จะเจอภาษีแถมเหมือนกัน นี่คือจุดที่ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกต้องปรับตัวใหม่หมด ทั้งเรื่องซัพพลายเชน โลจิสติกส์ และราคาขายปลายทาง
สิ่งที่น่าจับตาคือ เทรนด์นี้อาจกลายเป็น Domino Effect คือถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีกับจีน ยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ อาจต้องลุกขึ้นมาปรับภาษีตัวเองเพื่อให้แข่งขันได้ หรือปกป้องผู้ผลิตในประเทศ แบบที่ EU กำลังพิจารณาภาษีนำเข้ารถจีนอยู่ตอนนี้เหมือนกัน
อีกด้านหนึ่ง ประเทศที่ไม่ได้โดนขึ้นภาษี อาจกลายเป็น “ผู้ได้ประโยชน์” แบบไม่ทันตั้งตัว เช่น Mexico หรือ Vietnam ที่อาจเป็นฐานการผลิตใหม่แทนจีน เพราะสามารถส่งสินค้าเข้าไปขายในสหรัฐฯ ได้โดยไม่ต้องเจอภาษีโหด ๆ
สรุปคือ การขึ้นภาษีรถยนต์ของสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่เรื่องระหว่างสองประเทศ แต่มันเหมือนเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังทั่วทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นค่ายรถ ผู้บริโภค นักลงทุน หรือแม้แต่ประเทศที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่การผลิต ใครปรับตัวได้ไวก็อยู่รอด ใครช้าก็อาจหลุดขบวนไปเลยก็ได้