สวัสดีเพื่อนๆ คอเจแปนทุกคน วันนี้เรามีข่าวสำคัญจะมาแจ้งให้ทราบว่า ล่าสุดสภาสูงญี่ปุ่นผ่านร่างกฎหมายเพิ่มโทษจำคุกกรณีดูหมิ่นผู้อื่นบนโลกออนไลน์แล้ว ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเลย
สรุปข้อมูลและรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ดังนี้
- เมื่อไม่กี่วันก่อน สภาสูงของญี่ปุ่นได้ผ่านร่างกฎหมายที่เพิ่มโทษจำคุกต่อผู้กระทำความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นบนโลกออนไลน์ ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์
- ปัจจุบันโทษสำหรับการดูหมิ่นผู้อื่นคือจำคุกไม่เกิน 30 วัน หรือปรับไม่เกิน 10,000 เยน (ประมาณ 2,590 บาท) แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอให้เพิ่มโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และเพิ่มค่าปรับเป็นสูงสุด 300,000 เยน (ประมาณ 77,900 บาท)
- การผ่านร่างกฎหมายนี้มีขึ้นขณะที่สังคมญี่ปุ่นเริ่มตื่นตัวจากปัญหาการบูลลี่ในโลกออนไลน์ หลังจาก ฮานะ คิมูระ นักมวยปล้ำหญิงวัย 22 ปี ซึ่งมีชื่อเสียงจากรายการเรียลิตี้โชว์ของ Netflix อย่าง Terrace House เลือกจบชีวิตตัวเองลงเมื่อปี 2020 เนื่องจากเธอไม่สามารถทนต่อข้อความแสดงความเกลียดชังของชาวเน็ตได้
- ภายหลังจากที่คิมูระเสียชีวิต ทางการญี่ปุ่นได้สั่งปรับชาย 2 คนที่โพสต์ข้อความดูหมิ่นเธอเป็นจำนวนเงินคนละ 9,000 เยน แต่ประชาชนหลายคนมองว่าบทลงโทษนั้นเบาเกินไป จนนำไปสู่การผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
- ในระหว่างการอภิปรายนั้น พรรครัฐธรรมนูญประชาธิปไตย (Constitutional Democratic Party: CDP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ได้ออกโรงคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าว โดยอ้างว่าร่างกฎหมายนี้อาจทำให้ประชาชนไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างถูกกฎหมายได้
- แต่ในท้ายที่สุด สภาสูงก็ได้ผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยพยายามหาจุดสมดุลระหว่างการสร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดและการรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพในการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญ
- โดยมีการเพิ่มบทบัญญัติว่า เจ้าหน้าที่จะต้องทบทวนร่างกฎหมายฉบับนี้ภายใน 3 ปีหลังจากที่มีการบังคับใช้ เพื่อพิจารณาต่อไปว่ากฎหมายดังกล่าวจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างไม่เป็นธรรมหรือไม่
และนี่ก็คือข่าวความเคลื่อนไหวสำคัญจากประเทศญี่ปุ่นที่เราอยากนำเสนอให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นที่ชื่นชอบถูกใจคอเจแปนกันทุกคน ส่วนประเทศไทยเราเองก็น่าจะมีการเพิ่มโทษกับเหล่าเกรียนคีย์บอร์ดเช่นนี้บ้าง การบูลลี่ ด่าทอ สร้างความเกลียดชังกันในโลกโซเชียลจะได้น้อยลงเสียที