เมื่อต้องเลือกเครื่องมือทำ SEO Marketing ที่ดีที่สุด หลายคนอาจลังเลระหว่าง SEMrush และ Ahrefs ซึ่งทั้งสองเครื่องมือนี้มีจุดเด่นและประโยชน์ที่แตกต่างกัน มาดูกันว่ามีอะไรที่แต่ละเครื่องมือให้คุณได้บ้าง และเครื่องมือไหนที่จะช่วยคุณทำ SEO Marketing ได้ดีที่สุดในปี 2024
1. การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research)
SEMrush:
SEMrush มีฟีเจอร์ที่โดดเด่นด้านการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด โดยมี Keyword Magic Tool ซึ่งสามารถค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและวิเคราะห์ปริมาณการค้นหาได้ในทันที SEMrush ยังมีฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในตลาดด้วยคีย์เวิร์ดกว่า 21 พันล้านคำ ทำให้คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมได้อย่างละเอียด
Ahrefs:
Ahrefs มีฟีเจอร์ Keyword Explorer ที่ใช้งานง่ายและช่วยให้คุณเห็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการตัดสินใจเชิง SEO อย่างละเอียด เช่น ปริมาณการค้นหาและความยากในการจัดอันดับคีย์เวิร์ด แต่ฐานข้อมูลของ Ahrefs เล็กกว่า SEMrush (17 พันล้านคำ) และฟีเจอร์การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดอาจยังไม่ครอบคลุมเท่า
2. การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Analysis)
Ahrefs:
จุดเด่นหลักของ Ahrefs คือการวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของแพลตฟอร์มนี้ ฐานข้อมูลลิงก์ย้อนกลับของ Ahrefs เป็นหนึ่งในฐานข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก คุณสามารถตรวจสอบลิงก์ที่มีคุณภาพและลิงก์ที่มีโอกาสเสี่ยงได้ง่าย และยังสามารถดูโปรไฟล์ลิงก์ของคู่แข่งได้ด้วย
SEMrush:
SEMrush ก็มีฟีเจอร์การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นการติดตามลิงก์ที่เป็นอันตราย (Toxic Links) หรือการวิเคราะห์การลิงก์ย้อนกลับจากคู่แข่ง SEMrush ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณค้นหาโอกาสในการสร้างลิงก์ใหม่ ๆ ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม Ahrefs ยังคงมีความได้เปรียบในแง่ของฐานข้อมูลที่ใหญ่กว่า
3. การวิเคราะห์โดเมนและคู่แข่ง (Domain and Competitor Analysis)
SEMrush:
SEMrush มีฟีเจอร์การวิเคราะห์โดเมนที่ครอบคลุม เช่น Domain Overview และ Organic Research ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบการจัดอันดับและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ตัวเองและคู่แข่งได้ นอกจากนี้ SEMrush ยังมี Keyword Gap ที่ช่วยให้คุณเห็นคีย์เวิร์ดที่คุณอาจพลาดไปเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
Ahrefs:
Ahrefs มีฟีเจอร์ที่คล้ายกันกับ Site Explorer ที่สามารถดูการจัดอันดับของคู่แข่งได้ อย่างไรก็ตาม Ahrefs ให้ข้อมูลที่จำกัดกว่า โดยดูได้เฉพาะอันดับในหน้าแรกของ Google สำหรับบางแพ็กเกจ แต่หากอัปเกรดเป็นแพ็กเกจที่สูงขึ้น Ahrefs จะมีการวิเคราะห์ที่ละเอียดกว่า
4. การสร้างรายงานและการติดตามผล (Reporting and Tracking)
SEMrush:
SEMrush มีฟีเจอร์การสร้างรายงานที่ดีกว่า Ahrefs โดยสามารถสร้างรายงานแบบแบรนด์ของคุณเองและติดตามผลการทำ SEO ได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการผสานข้อมูลจากแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Google Analytics และ Google Search Console ที่ช่วยให้คุณดูข้อมูลได้ในที่เดียว
Ahrefs:
Ahrefs ยังไม่มีฟีเจอร์การสร้างรายงานที่ครอบคลุมเท่า SEMrush การสร้างรายงานใน Ahrefs จะต้องใช้การดึงข้อมูลจากฟีเจอร์ต่าง ๆ แต่ SEMrush สามารถสร้างรายงานแบบครบถ้วนได้ในเครื่องมือเดียว
5. ราคาและการเข้าถึงข้อมูล (Pricing and Data Access)
SEMrush:
SEMrush มีแพ็กเกจการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่า และราคาย่อมเยากว่า Ahrefs โดยเริ่มต้นที่ $119.95 ต่อเดือน และมีแพ็กเกจสูงสุดอยู่ที่ $449 ต่อเดือน ฟีเจอร์ต่าง ๆ จะครอบคลุมทั้ง SEO, PPC, และ Social Media
Ahrefs:
Ahrefs มีราคาสูงกว่า โดยแพ็กเกจเริ่มต้นอยู่ที่ $99 ต่อเดือน และแพ็กเกจสูงสุดอยู่ที่ $999 ต่อเดือน ซึ่งฟีเจอร์ในแพ็กเกจสูงจะเน้นไปที่การวิเคราะห์เชิงลึกและการเข้าถึงข้อมูลการจัดอันดับ
สรุป:
ข้อดีของ SEMrush
SEMrush เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์สำหรับการทำ Marketing ในภาพรวม ไม่ใช่แค่เรื่อง SEO เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึง PPC (Pay-per-click), Social Media, และ Content Marketing จุดเด่นสำคัญของ SEMrush คือฟีเจอร์การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่ลึกซึ้ง มันสามารถแสดงปริมาณการค้นหา คีย์เวิร์ดที่คล้ายกัน และสามารถวิเคราะห์คู่แข่งได้ละเอียดมาก รวมถึงสามารถติดตามการจัดอันดับของคีย์เวิร์ดได้แบบเรียลไทม์
ข้อดีของ Ahrefs
Ahrefs เหมาะสำหรับคนที่โฟกัสเฉพาะการทำ SEO อย่างจริงจัง ฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้ Ahrefs โดดเด่นคือความสามารถในการวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) ที่มีความละเอียดสูงมาก คุณสามารถรู้ได้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีลิงก์จากที่ไหนบ้าง และคุณยังสามารถตรวจสอบลิงก์ของคู่แข่งได้ด้วย นอกจากนี้ Ahrefs ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่แข็งแกร่งไม่แพ้ SEMrush ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่มองหาการทำ SEO ที่เน้นการสร้างลิงก์
SEMrush หรือ Ahrefs เหมาะกับใคร?
ถ้าคุณเป็นนักการตลาดที่ต้องการเครื่องมือที่ช่วยทุกด้าน SEMrush จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะมันครอบคลุมหลากหลายด้านของ Marketing แต่ถ้าคุณเป็นสาย SEO ที่ต้องการเน้นการวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับและติดตามคู่แข่งในเชิงลึก Ahrefs จะเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมกว่า
SEMrush และ Ahrefs ต่างมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน หากคุณต้องการเครื่องมือที่ครอบคลุมทั้ง SEO และการตลาดในภาพรวม SEMrush จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่ถ้าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ SEO ที่ต้องการเน้นการวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับและการตรวจสอบคู่แข่งอย่างละเอียด Ahrefs ก็เป็นตัวเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม SEMrush มีความยืดหยุ่นด้านราคาและการสร้างรายงานที่เหนือกว่า