จากที่ผมทำธุรกิจซื้อมาขายไปมาเป็นปีๆ สิ่งหนึ่งที่เพิ่มตามอายุงานหลังจากกระโดดเข้ามาทำธุรกิจซื้อมาขายไปคือนั้นคือ “คู่แข่ง” โดยเมื่อเราอยู่นานขึ้นจะรู้ว่าใครเป็นซื้อมาขายไปแบบเราบ้าง และใครเป็นผู้ผลิตและผู้นำเข้าคนแรก การดูคู่แข่งที่ทำตัวเหมือนแบบเรานั้นไม่ยาก สังเกตุจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับขั้น และลักษณะสินค้าที่มีซ้ำๆ กันในตลาด มันจึงไม่น่าแลปกใจเลยว่าสิ่งที่ทำให้คนที่เป็นผู้จำหน่ายคนแรกกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะกลไกของตลาดจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เอง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำทำคนที่รวยที่สุดในธุรกิจซื้อมาขายไปคือ “ผู้ขายสินค้าคนแรก” เมื่อรู้แบบนี้ก็จะมีคำถามว่าทำไมไม่เป็นคนแรกที่ขายสินค้าชิ้นนั้นล่ะ? ถ้าในมุมมองของคนที่มีเงินทุนหน้า กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนผมว่าเป็นทางออกที่ดีครับ แต่เมื่อเป็นผู้จำหน่ายคนแรก สิ่งที่ต้องมองต่อไปว่าทำอย่างไรถึงเป็นผู้จำหน่ายหรือผู้ขายสินค้าคนแรกได้ !!
โดยหลักๆแล้ว การเป็นเจ้าตลาด ผู้จำหน่ายคนแรกนั้นเกิดจาก การผลิตสินค้าเอง การนำเข้าสินค้าเอง ซึ่งแน่นอนจะมีเรื่องให้ต้องคิดเพิ่มอีกมากมายยกตัวอย่างเช่น
- การผลิตสินค้า – ต้องมองว่าสินค้าที่จะผลิต มีผู้ผลิตรายอื่นอีกบ้างไหม? คู่แข่งในมุมมองคนผลิต การแข่งขันที่เกิดขึ้น ใครเป็นเจ้าตลาด จะทำตลาดอย่างไรให้คนรู้จักสินค้าที่เราผลิต ทำให้ขายดีขายได้ ขายเหมือนขายสินค้าที่เรารับมาขายต่อ หากถึงจุดนี้แล้วคุณก็กำลังเป็นผู้ประกอบการ เป็นธุรกิจที่มีการผลิต ไม่ใช้การซื้อมาขายไปที่ต้นทุนน้อยที่สุดอีกต่อไป
- การนำเข้าสินค้า – จากที่ผ่านมามีหลายบริษัทนำเสนอข้่อมูลเข้ามาหาผมทาง โทรศัพท์ก็ดี ทาง Email ก็เยอะ เรามีตัวเลือกในการนำเข้าสินค้ามากมาย แต่สิ่งที่ต้องคิดคือจะนำเข้าสินค้าจากที่ไหน มีการติดต่ออย่างไร และอัตราการนำเข้าสินค้ามาคำนวณกับราคาขาย ว่าควรขายเท่าไหร่ และกำไรเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องคิดอีกเช่นกัน
โดยทั้งสองประเด็นที่ผมกล่าวถึง เป็นการทำธุรกิจที่มีการลงทุนสูงและมีสต๊อกสินค้า ถ้ามีการสต๊อกก็หมายความว่าคุณกำลังมีความเสี่ยงที่อยู่ในมือคุณ แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็นคนแรกในการขายได้และรวยที่สุดตามหัวข้อบทความที่ผมตั้งขึ้น ด้วยความคิดของผมที่อยู่กับเรื่องแบบนี้มายาวนานสิ่งที่เราต้องทำคือมองหาคนที่ผลิตคนแรกให้เจอ มองหาสินค้าที่มีความเฉพาะทาง มีเอกลักษณ์ และคุณสมบัติเด่น ซักนึ่งตัวและต้องเป็นตัวที่คุณรับตรงจากโรงงาน ผู้ผลิต ผู้นำเข้า โดยคุณต้องเป็นเบอร์ 2 รับจากกลุ่มนี้โดยตรง และตัวสินค้าต้องเป็นสินค้าที่มีการซื้อขายเยอะแต่คู่แข่งจำกัดหรือน้อย นี่ละครับทางออกของธุรกิจซื้อมาขายไปและเป็นคนที่รวยที่สุดในธุรกิจนี้ได้
..แต่ทุกอย่างมันไม่ง่ายครับจากกรณีที่ผมเจอกับตัวเองตอนนี้คือ ผู้นำเข้าสินค้าเป็นบริษัทใหญ่จำหน่ายเองด้วย แน่นอนเข้าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวมากถ้าหากสินค้าตัวนั้นเป็นที่รู้จักในบรรดาเหล่าจัดซื้อที่รู้ว่าซื้อจากที่ไหนได้ราคาถูก แน่นอนเราเป็นผู้ซื้อสินค้าไปขายต่อ เมื่อบอกว่าเราซื้อไปขายต่อ ถ้าบริษัทที่นำเข้าสินค้าหรือผลิตสินค้าแจ้งราคามาเป็นราคาขายต่อ ถ้าราคาที่ได้มานั้นไปเท่ากับราคาที่ตัวบริษัทเขาเองแจ้งให้กับบรรดาจัดซื้อด้วยละ หรือถ้าราคาที่แจ้งเราสูงกว่าแจ้งบรรดาเหล่าจัดซื้อก็จะทำให้เรามุ่งสู่การนำเสนอราคาที่แพงกว่า ทำให้ใบเสนอราคาของเรามุ่งสู่ถังขยะของบรรดาจัดซื้อเช่นกัน! เพราะเมื่อมีการซื้อสินค้า ทางฝ่ายจัดซื้อก็จะต้องขอราคาเพื่อพิจารณาเปรียบเทียบราคามาอันดับแรก (ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นราคามาอันดับ 1 ) นี่เป็นความชั่วร้ายและความน่ากลัวของการซื้อสินค้าจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้นำเข้าและผลิตเอง เหมือนเป็นการปิดโอกาสสำหรับการขายสินค้าของเราที่จะเกิดขึ้นอย่างไร้เยื้อใย..
วิธีแก้ปัญหานั้นทำได้ยาก เพราะจะต้องหาบริษัทอื่นๆ ที่ขายสินค้าตัวเดียวกัน มาเปรียบเทียบราคาเช่นกัน หรือนำเข้ามันซะเอง!!
เอาละแนวทางของผมคงช่วยคนที่ต้องการเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในธุรกินซื้อมาขายไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อยผมอาจจะไม่ใช่คนเก่งแต่ก็แชร์เรื่องบางเรื่องที่มีอยู่จริง และถ้าทำได้จริงก็จะเกิด Niche Market ครับ หลายคนอาจจะงงสำหรับ Niche Market ผมขออธิบายดังนี้ครับ
Niche Market คือ ?
กลุ่มตลาดเฉพาะกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงไปยังสินค้านั้นๆ จริงๆ ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่น ขายซองมือถือ iPhone ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีเฉพาะคนใช้ โทรศัพท์มือถือ iPhone เท่านั้นที่ใช้ซองมือถือ iPhone จึงเป็นการตลาดที่เฉพาะกลุ่มนั้นเอง ถ้าคุณเลือกสินค้าดี เป็นสินค้าที่มีความเฉพาะและคู่แข่งน้อย กลุ่มลูกค้าที่ต้องการเยอะย่อยเป็นเรื่องที่ดี แต่อะไรก็ตามที่ขายดีและมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตอันใกล้ Niche Market ที่คุณเป็นเจ้าตลาดหรือได้รับส่วนแบ่งการตลาดเพียงผู้เดียวย่อยมีคู่แข่งเข้าซักวันครับ..
แล้วจะรู้ไ้ด้ยังไงว่า Niche Market ที่เราเลือกนั้นดีแล้ว!
แบ่งเป็น 3 ข้อสั่นดังนี้ครับ
- ค่าใช้จ่ายที่เราเข้าถึง Niche Market นั้นมากหน้อยเพียงใด
- Niche Market ที่เราจะลงไปมีการแข่งขันสูงอยู่หรือไม่ เราเลือก Niche Market เพราะ Mass Market บริษัทใหญ่ๆ ทำไปหมดแล้ว ต้องเลือกตลาดที่บริษัทใหญ่ไม่ลงมาทำ หรือตลาดใหญ่ลงมาทำก็ไม่คุ้ม การแข่งขันจึงไม่สูง เราต้องรู้จักวางตำแหน่งตามสัดส่วนขนาดของธุรกิจตัวเอง
- Niche Market มีกำลังซื้อพอหรือไม่ เป็นตลากเล็กแต่มีกำลังซื้อสูง
ดูเหมือนว่าจะมีหลายๆอย่างที่นำไปสู่ความสำเร็จได้ สำหรับผู้ที่ทำ “ธุรกิจซื้อมาขายไป” และอยากเป็นคนที่รวยที่สุด.. หลังจากอ่านบทความผมแล้วควรทำอะไรต่อไป ผมอยากแนะนำว่าให้คุณลองไปมองสินค้าที่ขายอยู่ของคุณว่า เป็นสินค้าที่ขายดีไหม? คู่แข่งเป็นอย่างไร? มีผู้ผลิตอยู่ที่ไหน? เป็นสินค้าที่เหมาะสำหรับเลือกมาทำเป็นตัวหลักและเป็น Niche Market ของเราหรือไม่แค่นี้ละ คุณก็จะพบความอยู่รอดโดยไม่ต้องลงทุนเยอะๆ และมุ่งเข้าสู่การผลิตและไรหนทางต่อไป.. สู้ต่อไปครับมหาเศรษฐีบนเส้นทางความฝัน!!