นายโสภณ ปานฉิม ผู้อำนวยการฝ่ายบริการ บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวถึงสัดส่วนฐานลูกค้าที่ส่งเครื่องเข้ามาซ่อมของเอเซอร์ว่า เป็นฐานลูกค้าในกลุ่มองค์กร 20% ลูกค้าที่เป็นดีลเลอร์ 40% และลูกค้าทั่วไป 40% โดยสัดส่วนที่น่าสนใจคือลูกค้าที่เป็นดีลเลอร์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ขาย และเป็นพาร์ทเนอร์ให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าทั่วไปที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น จึงมีการวางระบบรับส่งสินค้าภายแบบใหม่ให้รับกับการขยายตัวของส่วนนี้ โดยงบประมาณลงทุนด้านบริการหลังการขายในปี 2012 อยู่ที่ 50 ล้านบาท ใช้ในการสร้างศูนย์บริการในประเทศ 40 ล้านบาท และในภูมิภาคอินโดจีน 10 ล้านบาท ส่วนในปี 2013 จะเน้นไปที่การสร้างรายได้จากเซอร์วิสเซ็นเตอร์ เนื่องจากปัจจุบันในส่วนของศูนย์บริการสามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วนราว 1-5% ของเอเซอร์เท่านั้น แต่ภายใน 3 ปีข้างหน้าจะผลักดันให้มีรายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5% “โซลูชันบริการหลังการขาย ของเอเซอร์ มีทั้งบริการซ่อมถึงที่ของลูกค้าองค์กร ลูกค้าที่เป็นดีลเลอร์ก็จะมีระบบจัดส่งที่รวดเร็วขึ้น ซึ่งลูกค้าทั่วไปก็จะมีศูนย์บริการตามสถานที่ต่างๆเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ขณะที่รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่มาจากปริมาณเครื่องที่มีการส่งซ่อม แต่จะเน้นให้บริการลูกค้าที่หมดประกัน หรือการให้บริการเอาท์ซอร์สแก่บริษัทต่างๆ” ปัจจุบันกว่า 80% ของผู้ใช้บริการอยู่ที่การซ่อมโน้ตบุ๊ก ส่วนอีก 20% จะเป็นของกลุ่มลูกค้าที่เครื่องหมดประกัน ซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่ม และการให้บริการรับซ่อมเครื่องหลากหลายแบรนด์ของบริษัทที่มาจ้างในรูปแบบของเอาท์ซอร์ส และมองว่าบริการดังกล่าวน่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่ส่วนบริการหลังการขายในอนาคต นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด เอเซอร์ กล่าวเสริมถึงภาพรวมตลาดไอทีในปีนี้ว่าอาจเติบโตเพียง 5% เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจกับอุปกรณ์พกพาอย่างแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีซีพียูในปัจจุบันก็ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้นความหวังสุดท้ายของตลาดไอทีในปีนี้จึงอยู่ที่การมาของระบบปฏิบัติการวินโดวส์8 ที่กำลังจะเปิดตัวในช่วงสัปดาห์หน้านี้ “เอเซอร์เริ่มนำโน้ตบุ๊ก และแท็บเล็ตวินโดวส์ 8 เข้าไปเสนอให้แก่ตลาดองค์กรบ้างแล้ว ซึ่งเชื่อว่าตลาดองค์กรส่วนใหญ่จะให้การตอบรับกับแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการดังกล่าวค่อนข้างดี เพราะสามารถใช้งานกับระบบเดิมของแต่ละองค์กรที่พัฒนาขึ้นมาได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาในการพัฒนาเพิ่ม” นอกจากนี้ยังมองว่าในช่วงไตรมาสที่ 4 ถือว่าเป็นช่วงสำคัญของแต่ละแบรนด์ในตลาดไอที ที่จะมีการนำสินค้ารุ่นใหม่ๆเข้ามาทำตลาดพร้อมๆกัน และเชื่อว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคก็จะกลับมาในช่วงปลายปีนี้เช่นเดียวกัน ขณะที่ในปี 2013 จะได้เห็นการทำตลาดแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนที่ดุเดือดขึ้น จากการขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ พร้อมกับการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น