ยักษ์ใหญ่ตลาดพีซีอย่างเดลล์ (Dell) ประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด พบบริษัทมีรายได้ลดลง 8% ทั้งกำไรที่หดตัวลง 18% ยอมรับตลาดผู้บริโภคทั่วไปหรือคอนซูเมอร์เป็นตลาดมีรายได้ลดลงมากที่สุด และเชื่อว่าตลาดจะยังอยู่ในช่วงขาลงต่อไปอีกในไตรมาสปัจจุบัน ทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายผลประกอบการทั้งปีลงตามแนวโน้มที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เดลล์ยังอุ่นใจว่าสามารถขยายธุรกิจไปยังตลาดองค์กรได้ตามเป้าหมาย และยังเชื่อมั่นในการเปิดตัวกองทัพสินค้าใหม่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 (Windows 8) ซึ่งเดลล์เตรียมพร้อมทั้งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นคอมพิวเตอร์พกพาบางพิเศษหรืออัลตราบุ๊ก (Ultrabook), คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปออลอินวัน และแท็บเล็ต น่าเสียดายที่นักลงทุนไม่เห็นด้วย ทำให้มูลค่าหุ้นเดลล์ลดลงทันทีที่ออกแถลงการณ์ราว 4% ไบรอัน เกลดเดน (Brian Gladden) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเดลล์ แถลงผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัท โดยระบุว่าผลกำไรของเดลล์อาจลดลงต่อเนื่องในไตรมาสนี้เนื่องจากผู้ค้าปลีกอุปกรณ์ไอทีพากันชะลอการสั่งซื้อสินค้าใหม่ เพื่อให้สอดรับกับผู้บริโภคที่ต้องการรอให้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่จากไมโครซอฟท์อย่างวินโดวส์ 8 เริ่มวางตลาดก่อนในเดือนตุลาคม 2012 เดลล์นั้นเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีรายใหญ่ที่สุดของโลก และมีดีกรีเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านซัปพลายเชนคอมพิวเตอร์ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ แต่ปัจจุบัน เดลล์กลับไม่เติบโตเท่าที่ควรและสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับผู้ผลิตเอเชียอย่างเอเซอร์ (Acer) และเลอโนโว (Lenovo) รวมถึงผู้ผลิตแท็บเล็ตซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วเช่นไอแพด (iPad) ของแอปเปิล โดยก่อนหน้านี้ เดลล์เคยออกมาประกาศในเดือนพฤษภาคมว่าตลาดการซื้อขายสินค้าเทคโนโลยีทั่วโลกจะอ่อนแอลงเร็วกว่าคาดการณ์ ซึ่งทำให้การประกาศครั้งนี้ของเดลล์ไม่สร้างความประหลาดใจแก่นักสังเกตการณ์ทั้วโลก สำหรับเดือนเมษายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นไตรมาส 2 ปีการเงิน 2013 เดลล์ระบุว่ามีรายได้ 1.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อนหน้า โดยสามารถทำกำไรสุทธิ 732 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนลดลง 18% ในส่วนไตรมาสปัจจุบัน เดลล์เชื่อว่ารายได้จะปรับตัวลดลง 2-5% เหลือ 1.38-1.42 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลสตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 1.48 หมื่นล้านเหรียญ ทั้งหมดนี้ เดลล์เชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรอย่างต่ำ 1.70 เหรียญสหรัฐในตลอดปีการเงิน 2013 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.13 เหรียญสหรัฐ โดยประธานฝ่ายการเงินของเดลล์ย้ำว่ารายได้ที่ลดลงนั้นเกิดขึ้นเพราะทิศทางตลาดที่ย่ำแย่กว่าที่เดลล์คาดการณ์ไว้ในตอนแรก อย่างไรก็ตาม ซีอีโอผู้ก่อตั้งเดลล์อย่างไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) ไม่กังวลกับตัวเลขผลประกอบการที่ลดลง เนื่องจากมองว่าเดลล์ยังดำเนินงานตามกลยุทธ์ระยะยาวที่มุ่งขยายธุรกิจลูกค้าองค์กรมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้เดลล์สามารถสร้างรายได้และผลกำไรที่สูงขึ้น และจะทำให้เดลล์กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงของเอชพี (Hewlett Packard) จุดนี้เดลล์เปิดเผยว่าได้ว่าจ้างอดีตประธานฝ่ายธุรกิจเครือข่ายของเอชพีนามว่ามาเรียส ฮาส (Marius Haas) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในแผนกธุรกิจลูกค้าองค์กรของเดลล์ให้สามารถบุกตลาดโลกได้ดีขึ้น โดยไตรมาสที่ผ่านมา เดลล์ชี้ว่าธุรกิจลูกค้าองค์กรของเดลล์มีการเติบโตดีตามเป้าหมาย เช่น ธุรกิจโซลูชันส์องค์กรมีรายได้เพิ่มขึ้น 6% คิดเป็นมูลค่ารวม 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากกว่า 1 ใน 3 ของยอดขายรวมของเดลล์ นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจเซิร์ฟเวอร์และเครือข่ายของเดลล์ยังเพิ่มขึ้นอีก 14% ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนรายได้จากธุรกิจกลุ่มคอนซูเมอร์ที่ลดลง 22% มีมูลค่าเพียง 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น ด้านนักวิเคราะห์มองภาวะซบเซาในตลาดคอนซูเมอร์ของเดลล์ที่เกิดขึ้นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในไม่นาน โดยเฉพาะเมื่อวินโดวส์ 8 ซึ่งออกแบบให้ใช้งานได้ทั้งคอมพิวเตอร์พีซีและแท็บเล็ตพกพา จุดนี้จะเป็นโอกาสให้ผู้ผลิตพีซีทั้งเดลล์ เอชพี และเลอโนโวมีโอกาสที่จะดึงส่วนแบ่งตลาดมาจากแท็บเล็ตสุดฮิตอย่างไอแพดได้ แม้ไมโครซอฟท์จะลุกขึ้นมาเปิดตัวแท็บเล็ตของตัวเองในนาม “เซอร์เฟส (Surface)” เพื่อจำหน่ายอย่างจริงจังก็ตาม เรื่องนี้ซีอีโอเดลล์เคยแสดงความเห็นว่าไม่กังวลต่อการลงมาทำตลาดเองของไมโครซอฟท์ โดยระบุว่าได้รับข้อมูลจากไมโครซอฟท์ว่า ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ประเมินว่าคาดหวังยอดขายราว 1-2% ในตลาดพีซีรวมในช่วงกลางปีหน้าเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ผู้ผลิตพีซีไม่ได้รับผลกระทบมากนัก รายงานยังระบุว่าเดลล์กำลังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้าง ซึ่งจะช่วยให้เดลล์สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า 2 พันล้านเหรียญในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในส่วนงานขายและสายการผลิตคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้เดลล์สามารถให้ความสนใจกับเทคโนโลยีเพื่อองค์กรมากขึ้น