หลายท่านอาจจะเห็นว่าเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมาเราไม่สามารถเข้าใช่งาน Facebook ได้เลย และไม่ได้เป็นที่ประเทศไทยเท่านั้น การล่มครั้งนี้ของ Facebook มีผลหลายประเทศทั่วโลก ถือเป็นการล่มหนักสุดของยักษ์ Social Media แห่งนี้ นับจากปัญหาแบบเดียวกันเมื่อปี 2008 ซึ่งทำให้ใช้งานไม่ได้นานหนึ่งวันเต็ม
The Wall Street Journal (WSJ) ว่า Mark Zuckerberg ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook อาจสูญเงินจากการล่มครั้งนี้ เฉลี่ยชั่วโมงละมากถึง 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 200,000 ล้านบาท) การล่มครั้งล่าสุดกระทบเป็นวงกว้าง เพราะนอกจากผู้ใช้ Facebook แล้ว Platform ในเครืออย่าง WhatsApp และ Instagram ก็ใช้งานไม่ได้ไปด้วย
ทาง Mark Zuckerberg ก็ออกมาพิมพ์สั้นๆว่า สามารถกลับมาออนไลน์แล้วตอนนี้ และขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรู้ว่าคุณพึ่งพาบริการของเรามากเพียงใดเพื่อติดต่อกับคนที่คุณห่วงใย
แม้ทาง Facebook ไม่ได้แจ้งว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่สำนักข่าวใหญ่ๆ อย่าง Reuters, CNBC และ AP รายงานอ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยออนไลน์และพนักงาน Facebook บางคนว่า อาจมาจากความผิดพลาดในระบบของ Facebook เอง หรืออาจเกิดจากอัพเดตการเชื่อมต่อ
การใช้งานไม่ได้ครั้งนี้ส่งผลต่อหุ้นของ Facebook พอสมควร โดยฉุดให้หุ้นที่ซื้อ-ขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐวานนี้ (4 ตุลาคม) ร่วงลงมาจนปิดลบ 5% เหตุการณ์นี้ถือเป็นข่าวเชิงลบของ Facebook ที่เกิดขึ้นติดกันช่วงห่างกันไม่ถึง 1 วัน หลัง Frances Haugen อดีตผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ที่ลาออกตั้งแต่พฤษภาคม ได้ออกมาเปิดตัวว่า ตนคือที่ผู้ให้ข้อมูลกับทั้ง WSJ และทางการสหรัฐ
ครั้งสุดท้าย ที่ระบบ Facebook ล่มในระดับนี้ คือเมื่อปี 2019 ที่ระบบใช้การไม่ได้นานกว่า 14 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ Facebook ยังไม่ชี้แจงสาเหตุของปัญหา แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบออนไลน์ประเมินว่า อาจเกี่ยวข้องกับ DNS หรือ ระบบชื่อโดเมน มีปัญหา เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็เกิดปัญหาลักษณะนี้มาแล้วกับเว็บไซต์แบรนด์และสื่อดังทั่วโลก