สวัสดีคอยานยนต์ทุกคน ครั้งนี้เรามีข่าวใหญ่ในโลกแห่งยานยนต์จะมาแจ้งให้ทราบว่า Ford กับแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าสองล้านคันอาจจะมาพร้อมกับการเลิกจ้างแรงงานในอนาคต รายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเลย
สรุปข้อมูลและรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้ดังนี้
- Ford บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ทุ่มเททั้งกำลังและเม็ดเงินในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลา 5-8 ปีที่ผ่านมา โดยล่าสุด Ford มีผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า BEV อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ด้วยความต้องการของตลาดที่มากจนเกินการคาดเดา ทำให้บริษัทต้องทำการลงทุนเพิ่มและขยับขยายการสรรหาวัสดุในการผลิตจำนวนมาก เพื่อให้รองรับความต้องการจากผู้บริโภค
- เพื่อตอบสนองความต้องการรถยนต์ไฟฟ้ายอดนิยมและสนับสนุนแผนการในอนาคตอันทะเยอทะยาน Ford ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ที่ตั้งเป้าหมายในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า BEV ให้ได้ 600,000 คันภายในปี 2023 และเป้าหมายสูงสุด 2,000,000 คันภายในปี 2026 แต่ในปี 2021 ที่ผ่านมานั้น Ford จำหน่ายรถยนต์ BEV ไปได้เพียง 28,000 คัน แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อเปิดตัว F-150 Lightning และ Mustang Mach-E รวมไปถึง Transit-E รถตู้เชิงอุตสาหกรรมของ Ford Pro บริษัทย่อยของเครือ กลับมียอดสั่งจองล่วงหน้ามหาศาล จนทำให้บริษัทไม่สามารถผลิตได้ทันต่อความต้องการ
- ในปัจจุบัน Ford ได้ทุ่มกำลังการผลิตแบบเต็มอัตรา ในการผลิต Ford Mustang Mach-E ที่มีกำลังการผลิตสูงสุด 2,000 คันต่อสัปดาห์ แต่ความต้องการของผู้บริโภคนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ทำให้บริษัทต้องเร่งขยายกำลังการผลิต นี้ยังไม่รวม F-150 Lightning ที่ทางบริษัทสั่งให้มีการผิดยอดสั่งจองที่มีเข้ามากกว่า 200,000 คันในช่วงระยะเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทำให้บริษัทต้องเทงบประมาณกว่า 5 หมื่นล้านดอลล่าร์ ในการพัฒนาสายการผลิตเฉพาะทาง ที่โรงงาน Cuautitlan ในประเทศเม็กซิโกที่กำลังจะเปิดตัว
- Ford ได้กล่าวว่าโรงงานแห่งใหม่นี้ จะมีกำลังในการผลิตที่มากกว่า 60 Gigawatt ต่อชั่วโมง ที่จำเป็นในการสนับสนุนส่วนแรกของแผนการผลิต ซึ่งก็คือการผลิตรถ BEV 600,000 คันต่อปี โดยสายการผลิตหลักกว่า 70% จะเป็นเรื่องของการประกอบแบตเตอรี่ ซึ่งทาง Ford กำลังเพิ่มคุณสมบัติทางเคมีของแบตเตอรี่ชนิดที่สอง ซึ่งก็คือ Lithium Iron Phosphate หรือ LFP นอกเหนือจากส่วนผสม Nickel Cobalt Manganese (NCM) ซึ่งสาร LFP นั้นจะช่วยลดการพึ่งพาแร่ธาตุที่หายากและมาพร้อมกับการประหยัดต้นทุนไปได้มากถึง 10-15% ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้ยานพาหนะเช่น Mach-E สามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทได้
- ในปีหน้าบริษัท Contemporary Amperex Technology Co. (CATL)จัดหาชุดแบตเตอรี่ LFP สำหรับ Mach-E ในอเมริกาเหนือ และสำหรับ Lightnings รุ่นต่อไปที่จะวางจำหน่ายในปี 2024 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการผลิต 2 ล้านคัน Ford และ CATL กำลังมองหาช่องทางและวิธีในการจัดหาแบตเตอรี่ให้มากขึ้นในจีน ยุโรป และอเมริกาเหนือ ซึ่งยังไม่มีการประกาศว่า CATL นั้นจะสร้างโรงงานใหม่เพื่อรองรับอัตราการผลิตที่เพิ่มจำนวนมากขนาดนี้หรือจะใช้สายการผลิตร่วมกันในโรงงานแห่งใหม่ของ Ford ในเม็กซิโก
- โครงการริเริ่มทั้งหมดเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผน Ford+ ซึ่งกำหนดให้ต้องกำจัดค่าใช้จ่ายรายปี 3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 เพื่อเพิ่มทุนที่จำเป็นในการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า Jim Farley ซีอีโอของ Ford ต้องการให้บริษัทมีอัตรากำไร 10% ภายในปี 2026 เพิ่มขึ้นจาก 3% ในปีที่แล้ว และทางซีฮีโอคนเก่งต้องการให้แบตเตอรี่ที่ผลิตขึ้นมาใหม่นั้นมีอัตรากำไรมากกว่า 8% ภายในปี 2026 สิ่งนี้มีความสำคัญต่อการทำกำไรเนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ต้องการให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของการผลิตทั่วโลกสำหรับผลิตภัณฑ์ BEV ภายในปี 2030
- กระแสข่าวลือจากการเริ่มแผนงานนี้ คือการที่บริษัททุ่มทุนในการสร้างโรงงานใหม่ที่จะมีการใช้แรงงานเครื่องจักรมากกว่าแรงงานมนุษย์ ทำให้ทางบริษัทตกเป็นข่าวว่า ต้องการลดพนักงานหลายพันคน โดยทาง Bloomberg และ The Wall Street Journal สื่อยักษ์ใหญ่ของอเมริกาได้รายงานว่าพนักงานที่จะถูกบริษัทผลัดออกจากการทำงานนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของด้านการขาย การตลาด วิศวกรรม แต่แรงงานในโรงงานจะไม่ได้รับผลกระทบจากกระบวนการจัดการนี้
- อาจจะดูสวนทางกับข้อมูลที่ได้มา แต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมานั้น Ford ได้ประกาศแผนการที่จะแบ่งบริษัทออกเป็นสองแผนกได้แก่ Ford Blue ที่จะเป็นแผนกที่ให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้ายานยนต์ที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ และเทคโนโลยีอื่นๆ ส่วนอีกแผนกคือ Ford Model E ที่จะเป็นแผนกที่ดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) และเครื่องยนต์เชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งยังคงเป็นตัวแทนของยอดขายส่วนใหญ่และสร้างผลกำไรที่จำเป็นต่อบริษัทและเป็นส่วนสำคัญของแหล่งเงินในการพัฒนาโครงการ BEV ของบริษัท
- Jim Farley ยังกล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ธุรกิจเดิมมีความซับซ้อนมากเกินไป และพนักงานรุ่นเก่าจำนวนมากไม่มีทักษะที่เหมาะสมที่จะย้ายไปทำงานด้านอุตสาหกรรม BEV ของบริษัท” ซึ่งพอจะเดาได้เลยว่าทางบริษัทเองน่าจะมีการปลดพนักงานที่ไม่มีความจำเป็นต่อการสร้างกำไรของบริษัท และคาดว่าในช่วงเวลาก่อนที่จะถึงปี 2026 จะมีพนักงานจากบริษัท Ford ที่โดย Layoff มากกว่า 1,000-1,300 อัตรา และคาดว่าจะพุ่งสูงกว่า 2,000 อัตราในปี 2030
และนี่ก็คือข่าวความเคลื่อนไหวสำคัญจาก Ford ยักษ์ใหญ่แห่งโลกยานยนต์ที่เราอยากแจ้งให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกคน และหากมีข่าวคืบหน้าประการใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เราจะรีบอัพเด