บริษัท ไฮเนเก้น เอ็นวี มีกำไรสุทธิในปี 2555 อยู่ที่ 3.96 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นมาจากปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.92 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการประเมินราคาใหม่ของหุ้น เอเชีย แปซิฟิก บริวเวอรี่ส์ หรือ เอพีบี ที่ ไฮเนเก้นได้เข้าไปถือ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า ไฮเนเก้นจะประสบความสำเร็จในตลาดเปิดใหม่แต่ใน ปัจจุบันกำลังพบกับปัญหาในตลาดที่อิ่มตัวแล้วอย่างยุโรปตะวันออก ที่ความต้องการของบริโภคได้ลดลงจากพิษเศรษฐกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารไฮเนเก้น “ฌอน ฟรองซัวส์ แวน บอกซ์เมียร์” กล่าวว่า อัตราการเติบโตในภูมิภาค แอฟริกา ลาตินอเมริกา และ เอเชียแปซิฟิกจะสามารถชดเชยยอดขายที่หดตัวลงในตลาดยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลได้อย่างเหลือเฟือ แต่ไฮเนเก้น ก็ยังจะหาโอกาสในการขยายตลาดในยุโรปอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนี้ ไฮเนเก้น ยังคาดการณ์ว่า มูลค่าต้นทุนจะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2556 แต่จะค่อยๆลดค่าใช้จ่ายในภาคส่วนอื่นในช่วงระยะเวลา 2 ปีหน้านี้ เช่นเดียวกับคู่แข่งรายอื่นๆ ได้แก่ อันฮอยเสอร์ บุช อินเบฟ เอ็นวี, เอสเอบีมิลเลอร์, และ คาร์ลสเบอร์ก เอเอส ไฮเนเก้นเองก็ได้พยายามหาโอกาสควบรวมกิจการในตลาดที่กำลังโตเพื่อหาช่องทางในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยการควบรวมกิจการของเอพีบี ของไฮเนเก้น จะเพิ่มรายได้ต่อปีที่ประมาณ 2.02 พันล้านดอลลาร์ ด้านเอสเอบีมิลเลอร์ ออกมาแถลงการซื้อ บริษัท คิงเวย์ บริวเวอรี่ โฮลดิ้งส์ ของจีน ในมูลค่า 864 ล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดเบียร์จีนที่มีโอกาสในการทำกำไรสูง ไฮเนเก้นและเอสเอบีมิลเลอร์ มีจุดยุทธศาสตร์ทางภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบเหนือคู่แข่งอีกสองราย เพราะมีการเข้าถึงตลาดที่เติบโตเร็วอย่าง เอเชีย และ แอฟริกา มากที่สุด โดยเอเชียนับเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดสำหรับ ไฮเนเก้น ในปี 2555 ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 6.2% ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ 2.9% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทก็ตาม ส่วนตลาดหลักของบริษัทอย่าง ยุโรปตะวันตก ยอดขายได้ตกลง 2% ในปี 2555 ทั้งนี้รายได้สุทธิในปี 2555 โตขึ้น 7.4% มาอยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์ [code]ที่มา : bangkokbiznews http://bit.ly/15dKYJs [/code]