สวัสดีปีใหม่เพื่อนๆ ชาวไอทีเมามันส์ ทุกคน กลับมาพบกันเป็นประจำเช่นเคยกับข่าวความเคลื่อนไหวด้านธุรกิจ สำหรับในครั้งนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ มาดูบทวิเคราะห์ของ Huawei ชี้ที่พวกเค้าได้ออกมาแนะนำว่าปี 2020 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไทย พร้อมดึง 5G Cloud และ AI หนุนเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างมหาศาล ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราลองมาหาคำตอบกันเลย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าวินาทีนี้ทั่วโลกกำลังจับตามองการมาถึงของ 5G ที่คาดการณ์กันว่าจะปฏิวัติโลกของเราในทุกๆ ด้าน นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เข้าร่วมการบรรยายในงานสัมมนา “5G The New Beginning พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย” ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ โดยนายอาเบล ยืนยันว่าเทคโนโลยี 5G จะสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมทั้งหมด อีกทั้งเน้นย้ำว่า 5G จะสำเร็จได้ ก็ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ อุตสาหกรรม และประชาชนอย่างเต็มรูปแบบ
ที่ผ่านมาวิวัฒนาการของเทคโนโลยีใช้เวลานานกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ 2G มาจนถึง 4G แต่การมาถึงของเทคโนโลยีไอซีทีใหม่ๆ ตั้งแต่เทคโนโลยี AI Cloud และ 5G นั้นเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นหลายเท่า และจะมีบทบาททั้งด้านการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน การตัดสินใจขององค์กรธุรกิจ ไปจนถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับประเทศ “เรามองว่าปี 2020 จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมไอซีทีในประเทศไทย เพราะเทคโนโลยี 5G กำลังจะมา และจะมีการใช้งานในเชิงพาณิชย์ในปีหน้า” นายอาเบล เติ้ง กล่าว พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์ใหม่ “Digital Vision” ว่าในอนาคต เรากำลังจะเข้าสู่ยุคที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกัน ทุกอุปกรณ์จะเชื่อมโยงและสื่อสารกันผ่านระบบเซนเซอร์ และทุกสิ่งจะก้าวเข้าสู่ความเป็นอัจฉริยะ
สำหรับประเทศไทย หัวเว่ยจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำ 5G เข้ามาช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านความร่วมมือทั้ง 3 ด้าน คือ
ภาครัฐ: ส่งเสริมการลงทุนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการมาตรการภาษี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไอซีที และการสนับสนุนทางด้านกฎหมายที่เอื้อต่อการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน 5G
ภาคอุตสาหกรรม: ร่วมมือกันสนับสนุนการลงทุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอีโคซิสเต็มให้รองรับ 5G ซึ่งจะช่วยเร่งให้ภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างเต็มรูปแบบ
ภาคประชาชน: ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ เช่น 5G Cloud และ AI ซึ่งจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำรงชีวิต เช่น ธุรกิจค้าปลีกอัจฉริยะ การแพทย์อัจฉริยะ การศึกษาอัจฉริยะ
นายอาเบล เติ้ง ยังได้เผยการคาดการณ์ว่า 5G สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับโลก มูลค่ากว่า 12.4 ล้านล้านดอลลาร์ และสร้างอาชีพใหม่กว่า 20 ล้านอาชีพภายในปี 2025 และชี้ว่าปัจจุบันเมืองสำคัญหลายแห่งทั่วโลกได้นำเทคโนโลยี 5G มาใช้แล้ว เช่น กรุงลอนดอน ซูริค กรุงปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หางโจว มิลาน กรุงเบอร์ลิน โดฮา บาร์เซโลนา โดยมีโอเปอเรเตอร์กว่า 60 ราย จากกว่า 20 ประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวการใช้ 5G ในเชิงพาณิชย์
อุตสาหกรรมหลักที่เทคโนโลยี 5G จะเข้ามามีบทบาทอย่างแน่นอน คือ การขนส่งเดินทาง ภาคการผลิต อุตสาหกรรมเกม และโลจิสติกส์ ตัวอย่างกรณีการใช้งานจริงในประเทศต่างๆ ยังสร้างความเป็นไปได้ในหลากหลายด้าน ในเกาหลีใต้ มีผู้ใช้งาน 5G เพิ่มมากขึ้นเป็น 3.5 ล้านราย ภายใน 6 เดือน โดยส่วนใหญ่ใช้ใน VR/AR ที่มอบประสบการณ์เสมือนจริงที่รวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในขณะเดียวกัน หัวเว่ยได้ร่วมมือกับโทรคมนาคมในประเทศจีน นำเทคโนโลยี 5G เข้ามายกระดับการขนส่งในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ โดยเปลี่ยนมาใช้ระบบรถบรรทุกไร้คนขับแทนรถบรรทุกทั่วไป เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้เร็วยิ่งขึ้น
ในช่วงท้ายของการบรรยาย นายอาเบล เติ้ง ยังย้ำว่า 5G ได้มาถึงแล้วในวันนี้ ที่สำคัญ 5G ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีที่พัฒนามาจาก 4G เท่านั้น แต่เป็นเทคโนโลยีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างแท้จริง และถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องเปลี่ยนวิธีคิด แล้วร่วมมือกันผลักดันประเทศไทยสู่โลกดิจิทัล นำนวัตกรรมด้านดิจิทัลมาสู่ทุกคน ทุกครัวเรือน และทุกองค์กร และพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะตามมา