OpenAI กำลังจะเลิกให้บริการโมเดล GPT-4.5 สำหรับนักพัฒนาในเร็ว ๆ นี้ โดยมีแผนจะผลักดันให้ทุกคนเปลี่ยนมาใช้ GPT-4 Turbo แทน ซึ่งเป็นโมเดลที่เร็วกว่า ฉลาดกว่า และราคาถูกกว่าด้วย
ข่าวนี้ถูกประกาศออกมาโดยตรงจาก OpenAI ผ่านเว็บไซต์ของพวกเขา โดยจะมีผลในช่วงกลางปี 2025 ซึ่งผู้ใช้งาน API หรือผู้พัฒนาแอปที่ใช้ GPT-4.5 ผ่าน endpoint ต่าง ๆ จะต้องปรับตัวและเปลี่ยนไปใช้ GPT-4 Turbo ก่อนถึงกำหนด
หลายคนอาจสงสัยว่า GPT-4.5 ต่างจาก GPT-4 Turbo ยังไง? คำตอบก็คือ GPT-4 Turbo เป็นเวอร์ชันที่ถูกปรับแต่งมาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า GPT-4 ปกติ ทั้งในด้านความเร็ว การเข้าใจบริบทที่ยาวขึ้น และยังสามารถประมวลผลได้ในราคาที่ถูกลงอีกด้วย
OpenAI เองก็ออกมายืนยันว่า GPT-4 Turbo คือโมเดลเดียวกันกับ GPT-4 ที่หลายคนคุ้นเคย แต่มีการ optimize ให้ทำงานได้เร็วขึ้น ใช้ memory ได้ดีขึ้น และเหมาะกับงานในระดับ production ที่ต้องการเสถียรภาพสูง
จากประกาศนี้ นักพัฒนาและองค์กรต่าง ๆ ที่ใช้งาน GPT-4.5 อยู่ในระบบจะต้องรีบอัปเดตและ migrate ไปยัง GPT-4 Turbo โดย OpenAI ยังให้เครื่องมือในการตรวจสอบและปรับโค้ดให้เหมาะกับโมเดลใหม่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ราบรื่นพอสมควร
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือ GPT-4 Turbo สามารถรองรับ context window ได้ยาวถึง 128K tokens ซึ่งเหมาะมากสำหรับงานที่ต้องการวิเคราะห์ข้อมูลเยอะ ๆ เช่น การเขียนบทความยาว ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายแหล่ง หรือการใช้ในระบบ Chatbot ที่ต้องจดจำประวัติการสนทนาแบบต่อเนื่อง
ในมุมของผู้ใช้งานทั่วไป อาจจะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก แต่สำหรับนักพัฒนา นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก เพราะจะต้องไปปรับระบบ เบื้องหลังให้สอดคล้องกับโมเดลใหม่ ซึ่งถ้าไม่ปรับ ก็จะใช้งานไม่ได้เลยหลังจากโมเดลเดิมถูกถอดออก
OpenAI ยังเน้นย้ำว่าทิศทางของบริษัทคือการมุ่งเน้นไปที่ความสามารถของ GPT-4 Turbo และโมเดลใหม่ ๆ ในอนาคตที่น่าจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่า GPT-5 กำลังจะมาในอีกไม่นานนี้
สรุปง่าย ๆ ก็คือ
-
GPT-4.5 จะเลิกให้บริการในกลางปี 2025
-
นักพัฒนาต้องย้ายไปใช้ GPT-4 Turbo
-
Turbo เร็วกว่า ฉลาดกว่า และถูกกว่า
-
รองรับ context ที่ยาวขึ้น
-
มีเครื่องมือช่วยในการอัปเกรด
ใครที่เป็นสาย dev หรือใช้ GPT API อยู่ อย่าลืมเช็กระบบตัวเองกันให้ดี เตรียมอัปเดตให้พร้อม ไม่งั้นจะใช้งานต่อไม่ได้แน่นอน
โลกของ AI เปลี่ยนเร็วมาก และนี่ก็เป็นอีกก้าวที่แสดงให้เห็นว่า OpenAI ยังเดินหน้าพัฒนาไม่หยุด และไม่รอใครแน่นอน