ไมเคิล เคาน์เซิล รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมองค์กร ออราเคิล คอร์ปอเรชั่น เอเซีย แปซิฟิค กล่าวว่า ทิศทางการทำงานยุคใหม่เข้าใกล้โมบายล์เอนเตอร์ไพรส์มากขึ้น หลายองค์กรยักษ์ใหญ่กำลังก้าวขึ้นสู่การทำงานแบบใหม่ที่สามารถทำงานที่ไหนก็ได้ โดย 90% ของ 500 บริษัทในฟอร์จูนต้องการโซลูชันที่ซัปพอร์ตแอปพลิเคชันที่ทำงานได้บนมือถือส่วนตัว 56% จากการสำรวจเชื่อว่าคลาวด์จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ 80% การทำงานร่วมกันผ่านแอปฯ ต่างๆ ด้วยการคอลาบอเรชันจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ โดย 3 องค์ประกอบที่เป็นความต้องการนี้ถือเป็นแรงขับเคลื่อนรูปแบบใหม่ๆ โดยแอปฯ ที่ใช้ในการทำงานจะต้องสามารถเข้าถึงได้หลายรูปแบบ เช่น ผ่านเว็บ ผ่านโมบายล์ ซึ่งจะทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในองค์กรเพิ่มขึ้น และสามารถแชร์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งออราเคิลมีผลิตภัณฑ์ Exadata ที่มีความสามารถแยกระบบไอทีเพื่อการจัดการได้ ช่วยให้คนกับองค์กรเข้าหากันง่ายขึ้นและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไมเคิลกล่าวว่า โมบายล์เอนเตอร์ไพรส์จะเพิ่มปริมาณการใช้งานในระบบสูงขึ้นมา ทำให้เกิดการใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์ค่อนข้างหนัก จึงจำเป็นต้องทำการจัดการเชื่อมต่อรวมไปถึงความปลอดภัยที่ดี โดยปัญหาที่จะพบในการขึ้นสู่โมบายล์เอนเตอร์ไพรส์ คือ ต้องมีการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อรองรับ เนื่องจากระบบปฏิบัติการใหม่ๆ นั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา องค์กรต้องตามระบบเหล่านี้ให้ทันเพื่อการประหยัดการใช้จ่าย ในส่วนออราเคิลจึงได้ทำแพลตฟอร์มขึ้นมาเพื่อรองรับทุกระบบปฏิบัติการ ทุกโอเปอเรชันใหม่ๆ ผู้บริหารออราเคิลกล่าวว่า ปีหน้าคลาวด์จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นจากการใช้งานโซเชียลมีเดียที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น โดยออราเคิลมองว่าต่อไปองค์กรจะมีการใช้งานโซเชียลมีเดียเพื่อการทำงานมากขึ้น ใช้เฟซบุ๊กสำหรับการพูดคุยทางธุรกิจมากกว่าที่จะใช้เพื่อการแชร์สิ่งต่างๆ และความบันเทิงเท่านั้น ซึ่งโซเซียลและโมบายล์จะเป็นการแชร์สิ่งต่างๆ ร่วมกันระหว่างบุคคล องค์กรธุรกิจจึงต้องมองหาตัวช่วยรองรับเพื่อให้การทำงานลื่นไหลอย่างระบบคลาวด์ ออราเคิลจึงนำเสนอการนำแอปพลิเคชันมารวมกับมิดเดิลแวร์ที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้อย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของธุรกิจแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่านเว็บ หรือโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับคลาวด์นั้น ออราเคิลจะใช้ซอฟต์แวร์หรือความสามารถในการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเพิ่มขีดความสามารถในธุรกิจ เพิ่มมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้า โดยในเมืองไทยออราเคิลมองว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติของการขึ้นสู่คลาวด์ คือ เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนย้ายทุกอย่างไปคลาวด์เลย ส่วนใหญ่จะเริ่มทดลองไปบางเซอร์วิสก่อน “การนำลูกค้าขึ้นสู่คลาวด์นั้นออราเคิลจะเน้นการปกป้องการลงทุนเดิมที่ลูกค้าทำไปแล้วให้ใช้งานได้ และเสริมด้วยแพลตฟอร์มที่สร้างความต่อเนื่องที่สามารถขยายตัวออกไปได้ตามความต้องการของตลาด แต่ทั้งนี้ การใช้คลาวด์จากหลายๆ เวนเดอร์นั้น การจะรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเข้ามาใช้งานร่วมกันอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะแต่ละคลาวด์อาจจะมีหลังบ้านที่ต่างกัน แต่สำหรับการใช้แพลตฟอร์มของออราเคิลจะสามารถรวบรวมข้อมูลจากคลาวด์หลายๆ ส่วนได้” ไมเคิลกล่าวปิดท้ายว่า ออราเคิลนำเสนอแพลตฟอร์มทางธุรกิจสำหรับองค์กรและระบบคลาวด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Oracle Fusion Middleware จะช่วยให้ลูกค้าและคู่ค้าสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรม ลดค่าใช้จ่าย และลดความซับซ้อนได้ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วย นวัตกรรมกว่า 2,000 รายการที่ไดัรับการปรับปรุงส่วนประกอบต่างๆ ของ Oracle Fusion Middleware โดย Middleware ของออราเคิลครบวงจรและครอบคลุมเทคโนโลยีด้านโซเชียล, โมบายล์ และคลาวด์ “คู่ค้ากว่า 10,000 รายทั่วโลกกำลังสร้างและปรับใช้โซลูชันที่แปลกใหม่บนแพลตฟอร์ม Oracle Fusion Middleware เพื่อลดค่าใช้จ่าย และความยุ่งยากซับซ้อน Oracle Fusion Middleware ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถสร้างและรันแอปพลิเคชันธุรกิจอัจฉริยะที่มีความคล่องตัวสูง พร้อมทั้งเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบไอทีด้วยการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย และด้วย Oracle Fusion Middleware จะช่วยให้ลูกค้าสามารถผลักดันโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยอาศัยเทคโนโลยีโมบายล์, โซเชียล และคลาวด์”