ช่วงนี้เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน หลายอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีชั้นสูง และไอที ซัมซุงเจ้ากิจการไอทีเบอร์ต้นๆ ของโลกก็หนี้ไม่พ้นวิกฤติการณ์ครั้งนี้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด เร็วๆ นี้ Samsung ได้ตัดสินใจปรับลดการผลิตชิปแล้ว เพื่อหวังกระตุ้นตลาด หลังมีรายงานผลกำไรตกต่ำสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งรายละเอียดเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เรามาติดตามอ่านกันเลย
สรุปข้อมูลและรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ดังนี้
- Samsung บริษัทอิเล็กทรอนิกส์จากเกาหลีใต้ ได้ออกมาเปิดเผยว่า บริษัทกำลังลดการผลิตชิปหน่วยความจำ หลังจากที่ประมาณการผลกำไรไว้ตํ่าที่สุด นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินทั่วโลกในปี 2009
-
นักวิเคราะห์ได้ประมาณการกำไรจากผลประกอบการของซัมซุงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ลดลงมากกว่า 95% เหลือเพียง 6 แสนล้านวอน หรือราว 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีประมาณการยอดขายรวมลดลง 19% เหลือ 63 ล้านล้านวอน หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท
-
ส่วนข้อมูลจาก TrendForce บริษัทวิจัยการตลาดและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีความสอดคล้องกัน โดยได้รายงานว่าส่วนแบ่งทางการตลาดชิปเซมิคอนดักเตอร์ของทั่วโลกในปี 2022 พบว่าบริษัท TSMC ครองส่วนแบ่งมากที่สุดคิดเป็น 54%, รองลงมา อันดับ 2 Samsung คิดเป็น 16% และอันดับ 3 UMC คิดเป็น 7%
-
สำหรับสาเหตุของความตกต่ำในตลาดไอทีในช่วงนี้ ซัมซุงเองก็ได้วิเคราะห์ไว้ว่า ความต้องการหน่วยความจำลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และผู้ซื้อชะลอการซื้อจากภาวะเงินเฟ้อ
-
อย่างไรก็ตามซัมซุงไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าจะปรับลดการผลิตชิปลงในปริมาณเท่าไร แต่ช่วงที่ผ่านมา ซัมซุง พยายามคงการผลิตชิปไว้ในระดับเดิม แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาดคืนจากคู่แข่งรายย่อย
-
นักลงทุนที่มีความช่ำชองต่างมองว่า การขยับตัวของซัมซุงครั้งนี้จะเป็นสัญญาณการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เนื่องจากการปรับลดการผลิตชิป จะช่วยลดกำลังขายส่วนเกินของอุตสาหกรรมชิปทั่วโลกไปด้วย ทำให้ราคาชิปทั่วโลกจะปรับตัวเพิ่มขึ้นตามกลไกตลาด และช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมชิปโลกฟื้นตัวต่อไป
และนี่ก็คืออีกหนึ่งข่าวความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจในโลกไอทีจากซัมซุงยักษ์ใหญ่ด้านไอทีจากประเทศเกาหลีที่เราอยากแจ้งให้เพื่อนๆ ได้ทราบในครั้งนี้ ก็หวังว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ส่วนสถานการณ์เกี่ยวกับชิปต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เราก็ต้องเฝ้าจับตามองอย่ากระพริบตาเลยทีเดียว