ตลาดไอทีไทยครึ่งปีหลังสดใส ผู้จัดงานคอมมาร์ตเชื่อเศรษฐกิจดี-ความเชื่อมั่นมา-เทคโนโลยีพร้อม ส่อแววเติบโต 14% ตามคาด ระบุเบอร์หนึ่งสินค้าขายดียังคงเป็นโน้ตบุ๊ก กระแสแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนมาแรงส่งผลอันดับสินค้าขายดีในงานเปลี่ยนแซง สินค้าเบ็ดเตล็ดกลุ่มเก็ดเจ็ดและกล้องดิจิตอล การันตียอดถึง 3,200 ล้านบาทแน่นอน นายปฐม อินทโรดม กรรมการบริหารและ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) กล่าวระหว่างการเปิดงานคอมมาร์ต เอ็กซ์เจน 2011 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า ยอดเงินสะพัดในงานครั้งนี้ที่คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 3,200 ล้านบาท เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ตลาดไอทีไทยเติบโตตามเป้าหมาย 14% ในปีนี้ โดยมั่นใจว่าครึ่งปีหลังของปี 2011 จะเป็นช่วงขาขึ้นของตลาดไอทีไทยซึ่งสอดรับกับช่วงที่ประเทศมีรัฐบาลใหม่พอดี “ตลาดครึ่งปีหลังสดใส เศรษฐกิจดี ความเชื่อมั่นมา เทคโนโลยีพร้อม ผู้ค้ารู้ว่าจะไปทางไหน ปีที่แล้วเป็นแกงโฮะ แท็บเล็ตในตลาดมีทั้งรุ่นหน้าจอ 5, 7, 8, 9 และ 10 นิ้วปะปนกันไป ปีนี้ผู้ค้ารู้ว่าผู้บริโภคต้องการอะไร ตลาดปีนี้จึงชัดเจนขึ้น คาดว่า สินค้าที่ขายดีในงานอันดับ 1 คือ โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์เหมือนเดิม อันดับที่ 2 และ 3 ยังไม่แน่นอนว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต อันดับที่ 4 คืออุปกรณ์ต่อพ่วงและเก็ดเจ็ด อันดับที่ 5 คือกล้องดิจิตอล” คอมมาร์ตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้จัดมองว่าแท็บเล็ตจะเป็นสินค้า ขายดีติดอันดับ 1 ใน 3 เนื่องจากงานคอมมาร์ต ซีมาร์ต 2011 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แท็บเล็ตคือสินค้าที่ขายดีอันดับ 2 ในงาน ครั้งนั้นสินค้าที่ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งคือ โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ด้วยยอดขายรวมทั้งงาน 1,044 ล้านบาท รองลงมาคือ แท็บเล็ต ยอดขาย 180 ล้านบาท ส่วนอันดับสามเป็นของสมาร์ทโฟน “เรากำลังจับตาว่าแท็บเล็ตจะทำยอดขายเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากงานซีมาร์ตครั้งก่อนได้หรือไม่” ยอดขายแท็บเล็ตในงานคอมมาร์ตถือเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2011 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม แท็บเล็ตนั้นมียอดขายอยู่ที่อันดับ 8 ทำรายได้เพียง 61 ล้านบาทเท่านั้น โดยคอมมาร์ตครั้งนั้นโน้ตบุ๊กสามารถทำยอดขายในงาน 1,900 ล้านบาท อันดับ 2 คือสมาร์ทโฟน ด้วยยอดขาย 335 ล้านบาท อันดับ 3 คืออุปกรณ์เสริม 275 ล้านบาท ***เอเซอร์-โตชิบาขอยอดขายเกินหมื่นเครื่อง นายนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์คอมพิวเตอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า วางเป้าหมายจำหน่ายสินค้าแบรนด์เอเซอร์ตลอดการจัดงาน 4 วันไว้ที่ 9,000-12,000 เครื่อง คงที่จากปีที่แล้วเนื่องจากสถานที่การจัดงานเท่าเดิม ขณะที่นายสุธี วงศ์วัฒนากุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด คาดว่า จะสามารถจำหน่ายสินค้าแบรนด์โตชิบาในงานได้ 10,000 เครื่อง ผู้บริหารเอเซอร์และโตชิบาต่างมองไปในทิศทางเดียวกันว่า คอมพิวเตอร์จะยังเป็นสินค้าที่ขายดีอันดับหนึ่งในงานเช่นเดียวกับคอมมาร์ ตทุกครั้งที่ผ่านมา โดยนายนิธิพัทธ์เชื่อว่า สินค้าเอเซอร์กว่า 80% ที่ขายได้ในงานจะเป็นโน้ตบุ๊ก รองลงมาคือคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และแท็บเล็ต โดยยอมรับสมาร์ทโฟนเอเซอร์ยังมีส่วนแบ่งรายได้ที่ต่ำ “ยอดขายแท็บเล็ตอาจจะมีลุ้นแซงโน้ตบุ๊กได้ในงานช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เพราะผู้ผลิตทุกรายจะพร้อมออกสินค้ามากกว่าคอมมาร์ตครั้งนี้” นิธิพัทธ์กล่าว โดยระบุว่ากระแสแท็บเล็ตไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อยอดขายโน้ตบุ๊กและเน็ตบุ๊กเอเซอร์ เนื่องจากเป็นกลุ่มตลาดที่มีจุดขายต่างกัน ด้านนายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์ว่า เอปสันไม่เน้นจำหน่ายสินค้าในงาน แต่จะโชว์นวัตกรรมเป็นหลักเพื่อสร้างแบรนด์ให้คนไทยจำได้ คาดว่าเอปสันจะเติบโตในตลาดอิงค์เจ็ทได้อีก 10% ***ตลาดไทยสดใส ปฐมให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า บริษัทวิจัย ไอดีซี ได้มีการปรับยอดขายตลาดโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยเพิ่มจาก 2.4 ล้านเครื่องเป็น 2.5 ล้านเครื่องในปีนี้ และคาดว่ายอดขายแท็บเล็ตในไทยจะเพิ่มจาก 2 แสนเครื่องเป็น 3 แสนเครื่อง ขณะที่สมาร์ทโฟนจะเกิน 3 ล้านเครื่อง ถือเป็นปีแรกที่สมาร์ทโฟนมีสัดส่วนราว 40% ของตลาดโทรศัพท์มือถือรวม “ตลาดโตสูง โปรโมชันสินค้าในงานนี้ก็เลยไปตามนั้น งานครั้งนี้ทะลุเป้าแน่ๆ 3,200 ล้านบาท” นายปฐมระบุว่า ปัจจัยลบในตลาดไอทีไทยขณะนี้ยังไม่เห็นชัดเจน โดยฝากถึงรัฐมนตรีไอซีทีคนใหม่ให้คิดรอบด้าน หากต้องการริเริ่มโครงการแจกแท็บเล็ตแก่เด็กไทย “ปัจจัยลบแรงๆ ยังไม่มี ตอนนี้ภัยธรรมชาติยังไม่เห็น วิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองก็ไม่มากเพราะคนไทยเริ่มชิน การเติบโตตลาดไอทีครึ่งปีหลังจึงน่าจะโตได้ตามเป้า 14% เพราะไม่ใช่เพียงฮาร์ดแวร์ที่แข็งแรง แต่ 3G ก็มีแนวโน้มดี ที่ลุ้นคือ ลูกค้าอาจจะรอเพื่อซื้อในไตรมาส 4 บ้างเท่านั้น สิ่งที่อยากฝากถึงรัฐมนตรีไอซีทีคนใหม่คือ ให้คิดรอบด้าน อย่าคิดอะไรมุมเดียวหรือคุยแต่เฉพาะในกระทรวงไอซีที ถ้าจะทำโครงการแท็บเล็ตอย่าคิดว่าเป็นเครื่องเครื่องเดียว ควรต้องคุยกับกระทรวงพาณิชย์ เพราะโครงการนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ ต้องมีลิขสิทธิ์เนื้อหาหลายอย่าง กระทรวงศึกษานี่ต้องคุยอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้ผมเห็นด้วยในเรื่องเครื่อง ขั้นตอนแรก แต่ขั้นต่อไปยังต้องรอดู” Company Related Link : Commart