ช่วงนี้ถ้าใครติดตามข่าวสารวงการโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะสาย TikTok คงได้เห็นดราม่าการเมืองและกฎหมายที่กำลังจะกระทบกับการใช้งาน TikTok ในสหรัฐฯ หนักขึ้นเรื่อย ๆ ประเด็นสำคัญคือ TikTok นั้นแพ้ความพยายามที่จะขอ “เบรก” หรือ “หยุด” กฎหมายที่อาจส่งผลให้แอปถูกแบนในบางพื้นที่ของอเมริกาในเดือนหน้า ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยกันแล้วว่า เฮ้ย! นี่เรากำลังเข้าสู่ยุคที่แอปโซเชียลดังระดับโลกอย่าง TikTok จะต้องโดน “ปิดประตูตีแมว” จริง ๆ แล้วเหรอ?
TikTok กับปัญหาทางกฎหมายในสหรัฐฯ
เรื่องมันเริ่มจากความกังวลของรัฐบาลสหรัฐฯ และบางมลรัฐที่มีต่อความปลอดภัยของข้อมูลและอิทธิพลจากต่างชาติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา TikTok ซึ่งเป็นแอปที่เติบโตอย่างรวดเร็วภายใต้บริษัท ByteDance (สัญชาติจีน) กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกเพ่งเล็งว่ามีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เนื่องจากข้อมูลผู้ใช้จำนวนมากในอเมริกามีการไหลเวียนอยู่บนแพลตฟอร์มนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ อ้างว่าอาจมีการดักฟัง สอดส่อง หรือเจาะข้อมูลโดยรัฐบาลจีน หรืออาจมีการใช้แพลตฟอร์มส่งสารที่บิดเบือนข้อมูลทางการเมือง
แม้ว่าทาง TikTok จะพยายามชี้แจง และสัญญาว่าจะเก็บข้อมูลผู้ใช้งานอเมริกันไว้ในเซิร์ฟเวอร์ที่ตั้งอยู่ภายในประเทศ รวมถึงเคยพยายามเจรจาหาทางออกร่วมกันหลายครั้ง แต่สถานการณ์กลับไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไรนัก อุณหภูมิทางการเมืองดูจะร้อนขึ้น และทำให้ “กฎหมายแบน TikTok” เริ่มถูกผลักดันในบางรัฐ
เหตุการณ์ในครั้งนี้
ตามข่าวจาก Engadget ที่มีการรายงานล่าสุดระบุว่า TikTok พยายามที่จะยื่นคำร้องเพื่อชะลอ (pause) กฎหมายที่จะมีผลให้แอปโดนแบนในเดือนหน้า แต่ศาลสหรัฐฯ กลับตัดสินปฏิเสธคำขอนี้ เท่ากับว่ากฎหมายที่อาจส่งผลให้ TikTok ไม่สามารถให้บริการในมลรัฐที่ออกกฎหมายนั้นกำลังเดินหน้าต่อไป
ถึงแม้จะไม่ได้หมายความว่าทุกคนในสหรัฐฯ จะใช้ TikTok ไม่ได้ทันที แต่การปล่อยให้กฎหมายฉบับนี้เดินหน้าโดยไม่มีการเบรก สะท้อนให้เห็นแนวโน้มว่ากระบวนการควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลจากต่างชาติเริ่มเข้มงวดขึ้นอย่างชัดเจน
กฎหมายแบน TikTok ในบางรัฐ เกิดขึ้นได้ยังไง?
ที่ผ่านมามลรัฐ Montana ถือเป็นรัฐแรก ๆ ที่ออกกฎหมายลักษณะนี้ โดยมองว่าแอป TikTok เป็นภัยต่อความมั่นคงภายในรัฐ และมีความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและข้อมูลของพลเมือง ในเมื่อทาง TikTok โต้แย้งและพยายามหาทางพักการบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นผล ก็หมายความว่าในอนาคตอันใกล้ ผู้ใช้ในรัฐนั้นอาจต้องเผชิญกับการหายไปของแอปบนสโตร์ หรือการบล็อกการเข้าถึงบางส่วน
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเหวี่ยงแหจับแอปเดียว เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกรณีความพยายามแบนแอปอื่น ๆ จากประเทศจีน เช่น WeChat ในยุคสมัยของประธานาธิบดี Donald Trump แต่สุดท้ายก็เป็นไปไม่เต็มที่ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราอยู่ในบริบทที่รัฐบางรัฐเริ่มจริงจัง และศาลก็เหมือนจะไม่ยอมให้ TikTok เบรกกฎหมายง่าย ๆ
ผลกระทบต่อผู้ใช้และครีเอเตอร์ใน TikTok
คงไม่ต้องสืบว่าผลกระทบจะใหญ่ขนาดไหน ถ้าวันหนึ่งตื่นมาแล้วแอปที่เคยมีคอนเทนต์แดนซ์สนุก ๆ การคอมเมนต์ฮา ๆ และกลุ่มคอมมิวนิตี้ที่เติบโตมากมาย กลับโดนปิดกั้น ชาวครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ที่ลงทุนลงแรงสร้างฐานแฟนบน TikTok อาจเจอกับช่วงรอยต่อที่ไม่รู้จะไปทางไหนต่อดี โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐฯ ที่ TikTok ถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างชื่อเสียงและรายได้ให้กับหลาย ๆ คน
ในไทยเอง แม้ตอนนี้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวจากภาครัฐไทยในการแบน TikTok แต่ประเด็นเรื่องการควบคุมเนื้อหาและความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นกำลังเป็นเรื่องที่ทั่วโลกจับตามอง หากวันหนึ่งการแบนแอปโซเชียลระดับโลกเกิดขึ้นจริงในสหรัฐฯ มันอาจกลายเป็น “น้ำไหลบ่า” ไปสู่ประเทศอื่น ๆ ที่มีความกังวลในทิศทางเดียวกัน
แนวโน้มอุตสาหกรรมโซเชียลมีเดียหลังจากนี้
การที่ TikTok ไม่สามารถหาทางพักการบังคับใช้กฎหมายที่อาจแบนตนเองได้ แสดงให้เห็นว่าเกมการเมืองและการเมืองระหว่างประเทศเข้ามามีอิทธิพลต่อแพลตฟอร์มโซเชียลอย่างมาก การควบคุมสื่อต่างชาติทางออนไลน์ดูจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ TikTok ถือเป็นเคสที่ชัดเจนและใหญ่โตมาก เพราะมันเป็นแอปที่ไม่ใช่แค่มียอดผู้ใช้ทะลุเพดาน แต่ยังส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรมวัยรุ่น การตลาด คอมเมิร์ซ และแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวทางสังคมอีกด้วย
ผู้เล่นรายอื่นจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
ในขณะที่ TikTok ตกเป็นเป้า อาจทำให้แพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ เช่น Instagram Reels, YouTube Shorts และ Snapchat Spotlight ได้โอกาสทองในการดึงผู้ใช้และครีเอเตอร์จาก TikTok ไปหาตนเอง โดยเฉพาะถ้า TikTok ถูกบล็อกการใช้งานในบางรัฐ ครีเอเตอร์หลายรายอาจต้องหาพื้นที่ใหม่ ๆ ในการนำเสนอคอนเทนต์
แต่อย่าเพิ่งคิดว่าถ้าตัว TikTok โดนแบนแล้วคู่แข่งจะสบาย เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ หรือแม้แต่รัฐบาลประเทศอื่น ๆ อาจจะเริ่มเพ่งเล็งแพลตฟอร์มต่างชาติและตั้งกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มจากยุโรป จีน หรือแม้แต่ประเทศอื่น ๆ อาจจะต้องเผชิญแรงกดดันที่คล้าย ๆ กันในอนาคต
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล
อย่าลืมว่าโซเชียลมีเดียไม่ใช่แค่พื้นที่เล่น ๆ หัวเราะขำ ๆ แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจดิจิทัลโลก มีทั้งการโฆษณา การตลาด การค้าขายออนไลน์ ร่วมกับบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ และครีเอเตอร์เป็นส่วนสำคัญ ข้อมูลทางการตลาดในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าการเติบโตของ TikTok มีผลต่อยอดขายและเทรนด์ด้านแฟชั่น อาหาร การท่องเที่ยว และอีกมากมาย
ถ้าการแบน TikTok เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เศรษฐกิจดิจิทัลในบางพื้นที่อาจสะเทือน ยิ่งถ้าแบรนด์หรือบริษัทที่เคยลงโฆษณาใน TikTok จำเป็นต้องย้ายแพลตฟอร์มและปรับกลยุทธ์ใหม่ ก็จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องเร่งปรับตัวกันจ้าละหวั่น
ความกังวลด้านความปลอดภัยไซเบอร์
เหตุผลหลักที่กฎหมายมุ่งเป้าไปที่ TikTok ก็เนื่องมาจากความกังวลด้านความปลอดภัย การสอดส่อง และอิทธิพลจากรัฐบาลต่างชาติ ในยุคที่ข้อมูลไหลเวียนผ่านอุปกรณ์พกพาของเราแทบจะตลอดเวลา การเข้มงวดด้านความมั่นคงในโลกไซเบอร์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันก็ตั้งคำถามว่า นี่เป็นการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงจริง ๆ หรือแค่การเมืองเรื่องผลประโยชน์ระหว่างประเทศ?
ในมุมมองหนึ่ง การกีดกันแอปต่างชาติอาจทำให้เกิดข้อสงสัยว่า สหรัฐฯ กำลังใช้กลไกกฎหมายเพื่อควบคุมธุรกิจดิจิทัลข้ามชาติ และส่งเสริมแพลตฟอร์มในประเทศของตนเองหรือเปล่า? เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ
อนาคตหลังจากนี้
แม้ TikTok จะยังไม่โดนแบนทั่วประเทศสหรัฐฯ แต่แนวโน้มก็ไม่สดใสเท่าไหร่ การแพ้คำร้องขอพักกฎหมายครั้งนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีความลำบากในการต่อสู้ทางกฎหมายกับความเข้มงวดของรัฐบาลสหรัฐฯ
ในอีกมุมหนึ่ง ผู้ใช้ TikTok ที่ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาการเมืองระดับโลกก็ต้องตกเป็นเหยื่อทางอ้อมเสียแล้ว ใครที่เคยทำคอนเทนต์ตลก ๆ คลิปเต้น รีวิวอาหาร หรือฮาวทูเมคอัพ อาจจะต้องเตรียมหาทางออกสำรอง ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจเห็นครีเอเตอร์จากสหรัฐฯ หลายคนเริ่มย้ายฐานไปสู่แพลตฟอร์มอื่น หรือแม้แต่หาช่องทางต่างประเทศ หรือ VPN เพื่อเข้าถึง TikTok กันมากขึ้น
ส่วนเราชาวไทยที่เสพ TikTok เป็นกิจวัตร แม้ว่าเราจะยังคงใช้ได้สบาย ๆ แต่สถานการณ์นี้สะท้อนภาพรวมว่าโลกโซเชียลเริ่มไม่ใช่พื้นที่เสรีเหมือนเมื่อก่อน ผู้มีอำนาจสามารถควบคุม ทดสอบ และสั่งแบนได้ตลอดเวลา หากมองในแง่บวก อาจกระตุ้นให้คนหันไปพัฒนาคอนเทนต์บนหลายแพลตฟอร์ม ไม่พึ่งที่เดียว และเรียนรู้ที่จะปรับตัวตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สรุปง่าย ๆ ก็คือ การที่ TikTok แพ้คดีขอพักกฎหมายที่อาจแบนตนเองในเดือนหน้า เป็นสัญญาณเตือนในโลกโซเชียลและเศรษฐกิจดิจิทัลว่า อำนาจทางการเมืองและกฎหมายสามารถสั่นคลอนแพลตฟอร์มที่เคยดูคงกระพันได้เสมอ ตอนนี้ก็ได้แต่เฝ้าดูว่าบทสรุปเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร และผู้เล่นทั้งหลายจะปรับตัวทันยุคสมัยนี้ได้มากน้อยแค่ไหน