Palantir Technologies บริษัทเทคโนโลยีด้านข้อมูลและวิเคราะห์ระดับโลก กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง หลังมีข่าวว่าบริษัทเข้าไปมีบทบาทสำคัญในระบบสอดแนมและติดตามผู้เข้าเมืองในสหรัฐฯ โดยล่าสุดหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของ Palantir ได้ออกมาปกป้องบริษัทอย่างชัดเจน พร้อมยืนยันว่า การทำงานของพวกเขาเป็นไปเพื่อความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่การละเมิดสิทธิมนุษยชน
เรื่องมันเริ่มจากบทสัมภาษณ์ของ Ted Mabrey ประธานฝ่ายปฏิบัติการระดับโลกของ Palantir ซึ่งออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ TechCrunch โดยพูดชัดว่า Palantir ไม่ได้เป็น “ปีศาจ” อย่างที่หลายคนมอง เขาอธิบายว่าระบบของ Palantir อย่างเช่น Gotham ถูกใช้เพื่อช่วยเหลือหน่วยงานรัฐบาลในด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ หน่วยข่าวกรอง หรือแม้กระทั่งกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (DHS) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ (ICE)
แต่สิ่งที่ทำให้คนไม่พอใจก็คือ การที่เทคโนโลยีของ Palantir ถูกใช้ในการติดตาม ตรวจสอบ และส่งตัวผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารกลับประเทศ โดยเฉพาะในช่วงยุคของรัฐบาล Donald Trump ที่มีนโยบายแข็งกร้าวด้านคนเข้าเมือง จนเกิดเหตุการณ์หลายครั้งที่ครอบครัวถูกแยกจากกัน และคนจำนวนมากถูกส่งกลับโดยไม่มีโอกาสชี้แจง
Ted Mabrey ยืนยันว่า Palantir เป็นเพียง “เครื่องมือ” และทุกการใช้งานขึ้นอยู่กับ “ผู้ใช้” เขายกตัวอย่างว่าเทคโนโลยีเดียวกันที่ใช้ในภารกิจด้านคนเข้าเมือง ก็เป็นเทคโนโลยีเดียวกันที่ช่วยทหารในยูเครนวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อป้องกันการรุกรานจากรัสเซีย หรือใช้ในโครงการต่อต้านค้ามนุษย์ในหลายประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีสามารถนำไปใช้ในทางดีได้หากอยู่ในมือที่เหมาะสม
Palantir เคยถูกสังคมตั้งคำถามมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใส การรักษาข้อมูลส่วนตัว หรือการมีส่วนร่วมกับรัฐบาลที่มีประวัติการละเมิดสิทธิ์ แต่บริษัทก็ยังเติบโตเรื่อยมา โดยเฉพาะหลังจากเข้า IPO ในปี 2020 และมีสัญญาระยะยาวกับหลายหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ
สิ่งที่น่าสนใจคือ Palantir ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีธรรมดาๆ พวกเขาแทบไม่เน้นขายผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคทั่วไป แต่เน้น “ซอฟต์แวร์สำหรับรัฐบาล” เป็นหลัก และนั่นทำให้หลายคนมองว่าบริษัทนี้อันตราย เพราะทำงานอยู่เบื้องหลังแต่มีอิทธิพลสูงมาก
คำถามคือ เทคโนโลยีควรจะมีเส้นแบ่งมั้ย? แล้วบริษัทเทคโนโลยีควรมีจริยธรรมแค่ไหนในการเลือกลูกค้า?
หลายคนมองว่า Palantir ไม่ได้ทำอะไรผิดทางกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ “ถูกต้อง” ทางศีลธรรมเสมอไป เพราะการสอดแนมคนเข้าเมืองหรือส่งพวกเขากลับประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีที่วิเคราะห์ข้อมูลลึกระดับ AI อาจละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ได้
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีคำตอบตายตัว เพราะในขณะที่บางฝ่ายวิจารณ์ Palantir ว่าร่วมมือกับรัฐบาลในการ “ไล่ล่า” ผู้อพยพ ก็มีอีกฝ่ายที่เชื่อว่า Palantir ช่วยปกป้องประเทศจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากคนที่ไม่มีการตรวจสอบประวัติ
สุดท้ายแล้ว ก็ต้องกลับไปที่คำพูดของ Ted Mabrey ที่บอกว่า “เราควรตำหนิคนที่ใช้เทคโนโลยีในทางผิด มากกว่าตำหนิผู้ที่สร้างมันขึ้นมา” แต่ในยุคที่เทคโนโลยีไปไกลเกินกว่าที่กฎหมายจะควบคุมทัน เรื่องแบบนี้อาจไม่สามารถสรุปได้ง่ายๆ
เรื่องของ Palantir จึงไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง แต่เป็นประเด็นใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ความโปร่งใสของเทคโนโลยี และความรับผิดชอบของภาคเอกชนต่อสังคมในภาพรวม