..กว่าจะมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองนั้นมันไม่ง่ายเลย ก่อนหน้านี่ผมเองซึ่งเป็นนักการตลาดที่ขายสินค้าให้กับผู้ผลิตหรือแบรนด์ที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด ผมเองนั้นกระโดดมาเป็นผู้ขายสินค้าหลังจากที่เป็นแค่คนโฆษณาสินค้ากินค่าคอมฯนั้นไม่นานนัก อะไรทำให้ผมเป็นจุดเปลี่ยนมาจากขายสินค้าให้คนอื่นมาทำแบรนด์สินค้าของตัวเองนั้น ผมได้หยิบยกมาเล่าให้ชาวไอทีเมามันส์ได้อ่านกันครับ..
ก่อนจะมีสินค้าเป็นของตัวเองนั้นผมก็เลือกที่จะหยิบสินค้าทั่วไปในตลาดมาขาย ขายจนสินค้าตัวนั้นขายดี และขายไปเรื่อยๆจากที่ขายดี ก็ทำให้สินค้าเหล่านั้นเป็นที่รู้จักและมีความต้องการสูงขึ้น และการที่เราอยู่ในตลาดนั้นผู้ขายสินค้าไม่ได้มีเพียงเราแค่คนเดียว สิ่งที่พบก็คือ คู่แข่งก็จะตามมาขายสินค้าแบบเดียวกับเราด้วย เพราะสินค้าที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาดใครๆก็สามารถซื้อมาขายได้ แม้ว่าจะติดต่อบริษัทผู้ผลิตโดยตรงได้ราคาถูกในราคาขายส่ง แน่นอนคู่แข่งก็สามารถทำแบบเดียวกันได้เช่นกัน นั้นหมายความว่าเรามีต้นทุนในการบริหารจัดการต้นทุนไม่ต่างกันกับคู่แข่ง แต่นั้นยังไม่พอที่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมหยุดขายสินค้าที่ไม่ได้เป็นแบรนด์ของตนเอง เพราะนอกจากจะมีคู่แข่งแล้ว การแย่งชิงและแข่งขันมาสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณของสินค้าที่ขายได้นั้นเอง
และไม่นานนักถึงจุดอิ่มตัว และมีแข่งขันกันมากๆเข้า ก็จะเกิด “สงครามราคา” ซึ่งเป็นการตลาดที่ดุเดือด ใครที่สนใจศึกษาการตลาดที่ต้องการหลีกหนีการตลาดแบบนี้ลองอ่าน การตลาดด้วยราคาสู่ทะเลแดง และเหตุผลที่ควรขายแพงกว่าคู่แข่ง ผมเคยเขียนไว้ อาจจะพอช่วยได้สำหรับกลยุทธ์ด้านราคา แต่ในบทความนี้ผมจะขอพูดถึงเรื่องแบรนด์สินค้า หรือ ตราสินค้า ซึ่งจะว่าไปมันก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราหลีกหนีสงครามราคาได้เช่นกัน
จะสร้างแบรนด์สินค้าต้องทำยังไง?
เริ่มแรกเลยต้องศึกษาตลาดมามากพอสมควร เมื่อพูดถึงการสร้างแบรนด์นั้นหมายความว่าคุณจะต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง ในข้อนี้ถ้าถามว่าอะไรละ..จะเป็นสินค้าที่เราเอามาสร้างเป็นสินค้าภายใต้แบรนด์ของเรา ผมคงจะบอกว่ามันเป็นอะไรคงเป็นไปไม่ได้ เพราะการที่เราเข้าถึงตลาด และขายสินค้าและบริการนั้นๆมาเป็นระยะเวลานานจะทำให้เราเห็นถึงว่า อะไรที่เราขายได้ ต้องอาศัยประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ว่าอะไรที่เราสามารถที่จะผลิตออกมาขายได้ด้วยตัวของเราเองได้นั้นเอง สำหรับใครที่มองหาสินค้าที่จะขายหรือบริการที่จะทำภายใต้แบรนด์ตัวเองผมแนะนำว่าให้คุณลองมองในตลาดที่ทำอยู่ในตอนนี้แล้ว มองกลับมาที่ตัวเองว่าคุณทำอะไรได้บ้าง เช่น คุณขายเสื้อผ้าอยู่และสินค้าที่คุณซื้อมาขายมีกางเกงผู้ชายขาสั่นขายดี ลองทำออกมาขายสิ อาจจะทำสีพื้นเรียบๆหลากสีฃประมาณหนึ่ง และแน่นอนมันเป็นสินค้าที่คณคุ้นเคยและรู้จักอย่างดี และประกอบกับตัวคุณเองสามารถที่จะตัดเย็นกางเกงแบบที่ขายอยู่ได้บ้าง ผมแนะนำให้ลองตัดเย็บออกมาวางขายคู่กับตัวที่ขายอยู่ดูครับ โดยตีตราหรือติดป้านเป็นแบรนด์ของเรา และคุณก็ต้องมีความหวังอยู่ด้วยว่ามันจะต้องขายได้ อย่างน้อยก็แค่ได้ลองทำดูก่อน แล้วผลออกมาว่ายังไงค่อยว่ากัน.. อย่างอื่นก็เช่นกันครับลองคิดดูดีๆ
แบรนด์ใหม่ใครจะรู้จัก..มันจะขายได้เหรอ?
สิ่งที่ต้องเหน็ดเหนื่อยสำหรับการเริ่มต้นสำหรับสินค้าใหม่นั้นคือคุณจะต้องทำใจให้ได้ว่า กำไรที่จะได้กลับมานั้นน้อยมาก หรืออาจจะมองยังไม่เห็นกำไรเลยก็ว่าได้ แต่อย่าเพิ่งท้อแท้เสียก่อน เพราะถ้าสินค้าและบริการภายใต้แบรนด์ของเราเองนั้นติดตลาดเมื่อไหร่ คุณค่อยปรับกลุยทธ์ก็ยังทันที่จะทวงคืนกำไรก็คงยังไม่สายจริงไหมครับชาวไอทีเมามันส์ สิ่งที่ต้องทำอย่างหนักนั้นคือการลงทุนโฆษณาและจัดเคมเปญต่างๆ ทั้งโฆษณาผ่านสื่อที่คิดกว่าตรงกับกลุ่มลูกค้าของเรามากที่สุด และจัดโปรโมชั่นต่างๆ เช่น ซื้อ 2 ชิ้นลดชิ้นที่ 3 หรือซื้อ 3 แถม 1 หรือจะฟรีค่าขนส่ง เป็นต้น อ๋อ.. อย่าลืมคำนวณอย่าให้ขาดทุนก็เป็นใช้ได้ ซึ่งจะทำให้สินค้าที่ที่ยืนในสังคมก่อนว่างั้นเหละครับ..
เอาล่ะน่าจะพอมองเห็นภาพกันแล้วใช่ไหมครับว่าการสร้างแบรนด์สินค้านั้นจริงๆเราควรที่จะเริ่มมาจากการมองเห็นสินค้า ส่วนเรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์นั้นผมไม่ขอพูดถึง เพราะการที่สินค้าและบริการจะขายดีและขายได้ต้องเกิดจากสินค้าที่น่าซื้อ ดูดีด้วย และเชื่อสิเมื่อมันเป็นสินค้าที่คุณผลิตออกมาเองคุณจะพิถีพิถันกับมันมากขึ้นกว่าการซื้อสินค้าของคนอื่นมาขายอย่างแน่นอน เพราะผมเองก็เป็นนะแต่ละชิ้นกว่าจะได้ลดลังบรรจุเพื่อส่งขายนี่ดูแล้วดูอีก ว่ามีข้อผิดพลาดอะไรไหม สินค้ามีปัญหาอะไรหรือป่าว
ใครที่กำลังมองหาแนวทางในการผลักดันตัวเองออกมาผลิตสินค้าและบริการเองก็ลองเอาไปปรับใช้ดูนะครับ และขอบคุณที่เสียสละเวลาเข้ามาอ่านการตลาดแบบพื้นฐานของผมครับ ร่ำรวยทุกท่านครับ ท่านผู้ประกอบการที่มีแบรนด์เป็นของตัวเอง.. ไว้มาต่อเรื่องขยายสายการผลิตกันอีกทีครับ