ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียเช้านี้ร่วงหนักทั่วกระดาน นักลงทุนทั่วโลกเริ่มไม่มั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังข้อมูลเศรษฐกิจออกมาน่ากังวล โดยเฉพาะเรื่องแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังไม่คลาย ส่งผลให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า FED อาจต้องหันกลับมาลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่วางแผนไว้
ตลาดในญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ล้วนแดงเถือกตั้งแต่เปิดตลาด โดยดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่นลดลงกว่า 2.3% ขณะที่ Hang Seng ของฮ่องกงติดลบเกิน 3% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงที่แรงที่สุดในรอบหลายเดือน
นักลงทุนส่วนใหญ่ในขณะนี้ให้ความสำคัญกับสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยเมื่อไร เพราะดอกเบี้ยที่สูงอย่างต่อเนื่องกำลังสร้างแรงกดดันให้กับเศรษฐกิจและตลาดทั่วโลก
ข้อมูลล่าสุดจากสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน การบริโภคภาคครัวเรือน และภาคการผลิต ต่างส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน ทำให้ตลาดคาดหวังว่า FED อาจต้องเร่งปรับลดดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้จากเดิมปลายปี กลายเป็นช่วงกลางปีนี้แทน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกก็ปรับตัวลดลงอย่างแรง โดย WTI ร่วงไปถึงระดับต่ำสุดในรอบเดือน เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้านตลาดฟิวเจอร์สใน Wall Street เองก็สะท้อนความไม่มั่นใจเช่นกัน โดย Dow Jones Futures และ S&P 500 Futures ต่างร่วงลงราว 1% ท่ามกลางความผันผวนที่ยังคงสูงมาก
นักวิเคราะห์จากหลายสำนัก เช่น Morgan Stanley และ Goldman Sachs ต่างแสดงความเห็นตรงกันว่า FED ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้อง “คลาย” นโยบายการเงินให้เร็วขึ้น เพราะหากยังคงดอกเบี้ยสูงต่อเนื่อง จะกระทบทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภค
อีกหนึ่งปัจจัยที่ตลาดกำลังจับตาคือการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะอ่อนค่าลงบ้างแต่ก็ยังอยู่ในระดับแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ ในเอเชีย นั่นทำให้เงินทุนยังไม่ไหลกลับเข้าสู่ภูมิภาคนี้
ในขณะที่ประเทศในเอเชียบางประเทศเริ่มพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้ผ่อนคลายตามบ้าง เช่น ธนาคารกลางจีน (PBOC) ที่มีแนวโน้มจะอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมเพื่อลดแรงกระแทกจากภายนอก
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของสหรัฐฯ ไม่ได้กระทบแค่ภายในประเทศ แต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงทุกตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะเอเชียที่ยังพึ่งพาการส่งออกและเงินทุนต่างชาติจำนวนมาก
สำหรับนักลงทุนรายย่อยในไทยหรือผู้ติดตามข่าวการลงทุน สิ่งสำคัญตอนนี้คือการจับตาท่าทีของ FED อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินความเสี่ยงในพอร์ตของตัวเอง เพราะถ้าสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยจริง นั่นอาจเป็นสัญญาณฟื้นตัวในระยะกลาง แต่ระยะสั้นยังต้องเผชิญความผันผวนสูงต่อไปอีกสักพัก