ความก้าวหน้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์เอดจ์ของเดลล์เทคโนโลยีส์: การปรับใช้และรักษาความปลอดภัยของระบบโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์เป็นเรื่องง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย
- แพลตฟอร์ม Dell NativeEdge ซอฟต์แวร์ช่วยลดความซับซ้อนและรักษาความปลอดภัย และทำให้การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเอดจ์และแอปพลิเคชันเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
- ลูกค้าสามารถได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 130% ในเวลาสามปี โดยลดระยะเวลาในการปรับใช้และลดต้นทุนการดำเนินงานของระบบเอดจ์อย่างมีนัยสำคัญ
- Dell Validated Design for Retail Edge ช่วยปรับปรุงความสามารถในการดำเนินงานของพนักงานในคลังสินค้าอัตโนมัติพร้อมทั้งเพิ่มความเร็วในการดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้าด้วยระบบ inVia Robotics
- การขยายของ Dell Private Wireless Program ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อขององค์กรในทุกส่วนของระบบเอดจ์
- Enterprise SONiC Distribution by Dell Technologies ช่วยให้ลูกค้าสร้างและจัดการประสิทธิภาพของเน็ตเวิร์ก แฟบริคแฟบริกของระบบเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และไพรเวทคลาวด์ได้อย่างง่ายขึ้น
- บริการ Dell ProDeploy Flex ช่วยเพิ่มความเร็วในการปรับใช้โซลูชันเอดจ์ให้ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัวแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ Dell NativeEdge เพื่อรองรับการปรับใช้ระบบเอดจ์อย่างง่ายและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจในเรื่องความปลอดภัย
แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ Dell NativeEdge ถูกออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการปรับใช้ระบบเอดจ์ที่ปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์หลายพันชิ้นและจุดติดตั้งที่รวมทั้งเอดจ์ไปสู่ศูนย์กลางที่ดาต้าเซ็นเตอร์และมัลติ-คลาวด์
และนอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เอดจ์ของเดลล์ยังมีความสามารถพิเศษในการปรับขนาดและจัดการจากระยะไกล รวมถึงการปกป้องความปลอดภัยตามขนาด การจัดการจากระยะไกล และการทำงานประสานกัน (orchestration) ของแอปพลิเคชันในมัลติ-คลาวด์
โครงการ Frontier Dell NativeEdge ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการใช้งานเอดจ์ในองค์กรด้วยวิธีการปรับใช้แบบ zero-touch และการออกแบบระบบให้เป็นระบบเปิด โดยรวมกับฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ครบวงจร end-to-end ของเดลล์ โดยมีความสามารถในเรื่องความปลอดภัย Zero Trust ที่ภายใน Dell NativeEdge เพื่อช่วยลดความเสี่ยงทางด้านความปลอดภัยและปกป้องแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าที่มีอยู่ใน edge estate ทั้งหมด
“การย้ายข้อมูลมีความซับซ้อนและมีราคาแพง ซึ่งส่งผลให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบกระจายจำนวนมหาศาลที่ทำให้ยากต่อการจัดการ การทำโพรวิชันนิ่ง และทำให้เป็นอัตโนมัติ จากการที่ลูกค้าของเราต้องการเพิ่มเวิร์กโหลดใหม่ๆ และการใช้งาน AI ที่เอดจ์ ลูกค้าเหล่านี้จะหันมาที่เดลล์เพื่อหาวิธีที่ง่ายกว่าและหนทางที่มีประสิทธิภาพที่มากขึ้นในการจัดการและรักษาความปลอดภัยให้กับระบบนิเวศของเทคโนโลยีเอดจ์และแอปพลิเคชั่น” เจฟฟ์ คลาร์ค รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมฝ่ายปฏิบัติการ เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “Dell NativeEdge จับพวกเขาวางไว้ในที่นั่งคนขับเพื่อที่พวกเขาจะสามารถจัดการ และปรับเปลี่ยน edge estate ทั้งหมดให้เรียบง่ายด้วยโซลูชันเพียงหนึ่งเดียว เพื่อให้ทั้งประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์ และผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม”
“กรณีการใช้งานสำหรับเวิร์กโหลดเอดจ์ที่ทันสมัยมีความหลากหลายและกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้สร้างสภาพแวดล้อมโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินการที่เอดจ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น” เจนนิเฟอร์ คุค ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยด้าน Edge Strategies ไอดีซี กล่าว “การเปิดตัว Dell NativeEdge ของเดลล์ ได้นำเสนอโซลูชันใหม่ที่น่าสนใจที่ช่วยแก้ปัญหาความซับซ้อนนี้ รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัยหลายประการที่เกิดขึ้นจากการปรับใช้อุปกรณ์และแอปพลิเคชันที่เอดจ์ ด้วยซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมที่มีเป้าหมายในการช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานของระบบเอดจ์”
เวลาในการปรับใช้ที่เร็วขึ้นและการประหยัดค่าใช้จ่ายด้วย Dell NativeEdge
ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรายใหญ่อาจต้องการทำการบรรจุหีบห่อและจัดส่งโดยอัตโนมัติไปยังไซต์ของโรงงานที่มีเป็นจำนวนมากในพื้นที่ที่แตกต่างกันหลายแห่ง นั่นหมายถึงการเชื่อมต่อเทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วยกัน อาทิ IoT การสตรีมมิ่งข้อมูลและตรวจสอบทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ (machine vision) ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ เฉพาะทางเพื่อรันซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันจำนวนมากทั่วโลเคชันที่มีทั้งหมด การทดสอบและปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อเรียกใช้แอปพลิเคชันอาจใช้เวลานานหลายเดือน ดังนั้น การใช้ Dell NativeEdge จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรวมสแต็คของเทคโนโลยีที่มีเข้าด้วยกันด้วยการลงทุนที่มีอยู่เดิม และลดเวลาในการปรับใช้สินทรัพย์เอดจ์และแอปพลิเคชันจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์ แพลตฟอร์มนี้ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานของระบบเอดจ์ และช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำแอปพลิเคชันใหม่ๆ เข้ามาใช้ที่ไซต์งานทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยจากส่วนกลาง
เดลล์ศึกษาลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนเกือบ 100 ราย เพื่อตรวจสอบผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับใช้ NativeEdge สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตที่มีโรงงานเฉลี่ย 25 แห่ง การลงทุนสามปีใน NativeEdge ช่วยจัดการ 75% ของสินทรัพย์เอดจ์ขององค์กรด้านการผลิตแสดงให้เห็นว่าลูกค้าสามารถบรรลุการดำเนินงานดังนี้
- ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 130% จากการปรับใช้ Dell NativeEdge
- การลดระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการนำอุปกรณ์ต่างๆ มาออนบอร์ดได้ถึง 20 นาทีสำหรับการจัดการสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานเอดจ์ในแต่ละส่วน อีกทั้งยังลดความเสี่ยงขององค์กรได้อย่างมากซึ่งส่งผลในการประหยัดค่าใช้จ่าย
- เพิ่มความเร็วให้กับการปรับใช้ edge asset พร้อมทั้งลดต้นทุนการดำเนินการของระบบเอดจ์ด้วยการทำโพรวิชันนิ่งแบบ zero touch
- ประหยัดค่าขนส่งโดยลดความจำเป็นในการจัดส่งการสนับสนุนไปยังพื้นที่งาน (site-support) ซึ่งส่งผลในการลดเวลาในการเดินทาง อีกทั้งยังเป็นการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 14 เมตริกตัน
ลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งหมดสามารถได้รับผลกระทบและผลประโยชน์ที่คล้ายคลึงกันของ NativeEdge
โซลูชัน retail edge ใหม่ช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินการของทั้งร้านค้าปลีกและคลังสินค้า
เดลล์ขยายโซลูชัน retail edge ด้วย Dell Validated Design for Retail ใหม่ ด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ inVia Robotics การสั่งซื้อทางออนไลน์และการจัดส่งแบบไม่มีหน้าร้านสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้ค้าปลีก โซลูชันใหม่นี้ใช้ซอฟต์แวร์และระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยให้พนักงานค้าปลีกสามารถหยิบสินค้า บรรจุหีบห่อ ดำเนินการขนส่งและจัดส่งในขั้นตอนสุดท้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการแปลงคลังสินค้าและพื้นที่ค้าปลีกที่มีอยู่ให้เป็นศูนย์การเติมเต็มขนาดเล็ก ด้วยเทคโนโลยีที่ง่ายต่อการจัดการในสถานที่ค้าปลีกต่างๆ ที่ซึ่งข้อมูลถูกสร้างขึ้น ผู้ค้าปลีกสามารถให้พนักงานค้นหาเส้นทางและหยิบสินค้าตามคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลต่อการปรับปรุงเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญ
โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการทดสอบล่วงหน้า รับรองความถูกต้องและสนับสนุนโดยเดลล์ ทำให้ไอทีและแอปพลิเคชันค้าปลีกที่ล้ำสมัยอยู่ในสแต็กโครงสร้างพื้นฐานชุดเดียวเพื่อการปรับใช้ การจัดการ และการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ ลูกค้าจะสามารถนำโซลูชันนี้ไปใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge พร้อมทางเลือกในการจัดการแบบรวมศูนย์ ซึ่งรวมถึง Linux, Microsoft Azure Stack HCI และ VMware Edge Compute Stack โซลูชันนี้มอบเส้นทางที่เรียบง่ายและยืดหยุ่นแก่ลูกค้าสู่ระบบค้าปลีกอัตโนมัติอัจฉริยะ
การเชื่อมต่อ ประสิทธิภาพ และการซัพพอร์ตระดับโลกทำให้เอดจ์ง่ายขึ้น
ด้วยจำนวน 81% ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 100 ที่ใช้โซลูชันเอดของเดลล์ เดลล์ยังคงเสริมความแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยโซลูชันใหม่ และความสามารถใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดความซับซ้อนและได้รับมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากระบบเอดจ์
- Dell Private Wireless ด้วย Airspan และ Druid คือโซลูชันไพรเวทไวร์เลสที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ซึ่งช่วยให้องค์กรมีการเชื่อมต่อไร้สายที่เชื่อถือได้และปลอดภัยสำหรับเทคโนโลยีเอดจ์ในระยไกลจำนวนหลายพันรายการ ทั้ง อุปกรณ์ต่างๆ และเซ็นเซอร์ซึ่งกระจายอยู่ตามโลเคชั่นต่างๆ ของเอดจ์ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของ Dell Private Wireless Program โซลูชันนี้ให้ทางเลือกในระบบไพรเวทไวร์เลสสำหรับองค์กร โซลูชันนี้สามารถบูรณาการเข้ากับระบบเอนเทอร์ไพรซ์ไอทีและระบบปฏิบัติการ (OT) ได้อย่างง่ายดาย และยังรวมถึงการซัพพอร์ต การใช้งานที่ปรับแต่งได้ และการจัดการแบบครบวงจร
- Enterprise SONiC Distribution by Dell Technologies 4.1 ระบบปฏิบัติการเครือข่ายแบบโอเพ่นซอร์สที่ปรับสเกลการทำงานได้บนสวิตช์ของเดลล์l ขยายคุณสมบัติของดาต้าเซ็นเตอร์เน็ตเวิร์กไปสู่การปรับใช้ระบบเอดจ์ รวมถึง User Container Support (UCS) และ telemetry ที่ให้ fabric visibility การรักษาความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ทั้งนี้ โซลูชัน SONiC ของเดลล์ มอบระบบปฏิบัติการเครือข่ายเดียวที่รวมความยืดหยุ่นของระบบนิเวศที่มีผู้จำหน่ายหลายรายเข้ากับความเรียบง่ายของชุดเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดความซับซ้อนในการจัดการวงจรชีวิตของเน็ตเวิร์คแฟบริคและหลีกเลี่ยงการล็อคอินของเวนเดอร์
- Dell ProDeploy Flex คือบริการการปรับใช้ในรูปแบบโมดูลาร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเร่งความเร็วในการสร้างมูลค่านับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการใช้งานให้กับลูกค้า ด้วยธรรมชาติที่ยืดหยุ่นของบริการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานระบบเอดจ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามต้องการเพื่อประโยชน์สูงสุดจากทั้งโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์และแอปพลิเคชันเอดจ์ของตัวเอง
เดลล์ยังคงเดินหน้าในการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันเอดจ์อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเวิร์กโหลดและดาต้าด้วยแผนงานต่างๆ ในการส่งมอบโซลูชันเอดจ์ของเดลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในรูปแบบของการบริการ (as a service)เพื่อสนองตอบความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปทางด้าน IT ซึ่งการขยายระบบนิเวศของพันธมิตรด้านเอดจ์ของเดลล์จ์ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จต่อความสำเร็จของลูกค้า ด้วยโปรแกรม Dell Edge Partner Certification Program ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ (ISVs) ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ (Si) และพันธมิตร OEM จะสามารถทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องของแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์บน Dell NativeEdge เพื่อส่งมอบโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์แบบบูรณาการให้กับลูกค้า
“ความสัมพันธ์ที่ยาวนานหลายทศวรรษของเดลล์ เทคโนโลยีส์ และชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ลูกค้าได้รับโซลูชันนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาความท้าทายด้านไอทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรูปแบบของการจัดการที่ชาญฉลาด ปลอดภัย ที่สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่องและตลอดเวลา (Always-on)” วันดานา ซิงห์ รองประธานอาวุโส ธุรกิจ Secure Power North America ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ด้วยการเปิดตัวของ Dell NativeEdge เรามองเห็นโอกาสใหม่ๆ ในการบูรณาการ และสนองตอบที่ดีขึ้นต่อความต้องการที่สำคัญอย่างยิ่งของลูกค้าที่ระบบเอดจ์”
“Fastly ตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เห็นเดลล์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการรวมแพลตฟอร์มของเอดจ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกันด้วยการเปิดตัว Dell NativeEdge ในครั้งนี้” อาเธอร์ เบิร์กแมน หัวหน้าสถาปนิกและผู้ก่อตั้ง Fastly กล่าว “ไม่มีช่วงเวลาใดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะในทุกวันเรามักได้ยินเสียงทั้งจากลูกค้าและจากกลุ่มเป้าหมายที่กำลังมองหาวิธีใหม่ๆ ในการปรับใช้บริการ Fastly อาทิ Next-Gen WAF หรือ Web Assembly ของเราที่ขับเคลื่อนด้วยแพลตฟอร์ม Edge Computing และ Delivery ในสภาพแวดล้อมที่นอกเหนือไปจากดาต้าเซ็นเตอร์ หรือคลาวด์แบบเดิม”
ความพร้อมในการวางตลาด
- ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์ม Dell NativeEdge จะพร้อมให้บริการแก่ลูกค้า ผู้ใช้งานในกลุ่ม OEM และพันธมิตรใน 50 ประเทศตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2023
- Dell Validated Design for Retail Edge ที่สร้างด้วย inVia Robotics พร้อมใช้งานแล้วทั่วโลก
- Dell Private Wireless withAirspan and Druid พร้อมใช้งานแล้วทั่วโลก
- Enterprise Sonic Distribution by Dell Technologies 4.1 พร้อมให้ใช้งานทั่วโลกแล้ว
- Dell ProDeploy Flex จะวางจำหน่ายทั่วโลกในเดือนสิงหาคม 2023