บริการประกันเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความเสี่ยงทางการเงิน โดยการให้บริการประกันจะช่วยให้ผู้เอาประกันสามารถรับประกันความเสี่ยงทางการเงินได้โดยมีค่าเสียสูงสุดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
มีหลายสาเหตุที่ทำให้บริษัทเริ่มเปิดทำธุรกิจประกันหรือนายหน้าประกัน รวมถึง:
- ประชากรที่เพิ่มขึ้น: การเพิ่มขึ้นของประชากรในสังคมอาจทำให้ผู้คนรู้สึกว่าต้องการการป้องกันเพิ่มเติมเมื่อมีการเกิดความเสี่ยงทางการเงิน
- เจ้าของกิจการที่รู้สึกว่าต้องการประกันเพิ่มเติม: เจ้าของกิจการอาจต้องการประกันในบางสิ่ง เช่น สินค้าหรือสิ่งทรงคุณวุฒิ ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหาย
- นโยบายของรัฐบาล: รัฐบาลอาจส่งเสริมการเปิดตลาดประกันในประเทศด้วยนโยบายที่เป็นกำหนด เช่น การอนุญาตให้บริษัทประกันภัยต่างๆ ได้เข้ามาตลาด หรือการส่งเสริมให้ประชาชนเข้าใจและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประกัน
- ความต้องการของลูกค้า: ผู้บริโภคอาจมีความต้องการในการรับประกันสินค้าหรือบริการของบริษัทเพื่อความมั่นใจในการใช้งานหรือการซื้อขาย
- การเปลี่ยนแปลงในการประกัน: การเปลี่ยนแปลงในการประกันและการบริหารความเสี่ยงทางการเงินในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและปรับปรุงให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การประกันเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงกันอย่างมากในปัจจุบัน
- รายได้สูงขึ้น: การเติบโตของเศรษฐกิจและการเจริญเติบโตของธุรกิจต่างๆ ทำให้รายได้ของบุคคลหรือกลุ่มธุรกิจสูงขึ้น ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ผู้คนสนใจในการลงทุนในการรับประกันที่สูงขึ้น
- การสร้างความไว้วางใจในตลาด: บริการประกันเป็นบริการที่มีความเชื่อมั่นต่อกันอย่างสูง ซึ่งสามารถสร้างความไว้วางใจในตลาดและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้
Insurance ในประเทศไทยมีสัดส่วนของแต่ประเภทใดและเท่าไหร่บ้าง
ตามข้อมูลจาก OIC (Office of Insurance Commission) ในปี 2564 (2021) แบ่งตามประเภทของประกันภัย อัตราส่วนตลาดประกันภัยของประเทศไทย ได้แก่
-
- ประกันสุขภาพ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 56.73%
- ประกันอุบัติเหตุ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 15.31%
- ประกันชีวิต มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 14.54%
- ประกันสินค้าภัณฑ์ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 6.29%
- ประกันภัยรถยนต์ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 6.02%
- ประกันภัยอื่นๆ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1.11%
โดยรวมแล้ว ส่วนแบ่งตลาดประกันภัยของประเทศไทยในปี 2564 มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมากจากปีก่อนหน้านั่นคือปี 2563 ซึ่งยังคงอยู่ในลักษณะที่ประกอบด้วยประกันสุขภาพที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด และตามมาด้วยประกันอุบัติเหตุและประกันชีวิต เป็นต้น
บริษัทที่มี Market share เกี่ยวกับ Insurance ในประเทศไทย
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่ามีบริษัทประกันที่มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศไทย 5 อันดับดังนี้
1. บริษัท ประกันชีวิต เอไอเอ ไทย (AIA) มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 18.91%
2. บริษัท ประกันชีวิต เอ็มเอฟซี (MFC) มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 17.02%
3. บริษัท ประกันชีวิต อาคเนย์ (AXA) มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 13.53%
4. บริษัท ประกันชีวิต สินมั่นคง (SIN) มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 12.39%
5. บริษัท ประกันชีวิต เพื่อนชีวิต (FWD) มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.91%
เนื่องจากเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าบริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยมีการจัดการด้านการตลาดและการเสนอสินค้าที่หลากหลายและดีเยี่ยม ทั้งในด้านประกันชีวิตและประกันภัยทั่วไป เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
ข้อมูลเกี่ยวกับ Digital Insurance และ Bank Insurance
Digital Insurance เป็นการให้บริการประกันภัยผ่านช่องทางออนไลน์ โดยที่ลูกค้าสามารถทำการขอรับการประกันภัยและจัดการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ โดยไม่ต้องติดต่อกับตัวแทนประกันภัยหรือไปยังสำนักงานในช่วงเวลาทำการปกติ ซึ่งการให้บริการประกันภัยแบบดิจิตอลนั้นเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยลดความยุ่งยากในการขอรับบริการและทำให้เป็นไปได้ในทุกๆ เวลา
Bank Insurance หมายถึงการให้บริการประกันภัยโดยธนาคาร โดยธนาคารจะเป็นตัวกลางในการให้บริการ ในบางกรณีธนาคารอาจจะมีบริการประกันภัยเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่พวกเขาจัดทำ โดยบริการประกันภัยในธนาคารสามารถช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และเพิ่มรายได้ให้กับธนาคารด้วยการค่าคอมมิชชั่นที่ได้รับจากการขายบริการประกันภัย
Digital marketing ที่นำมาใช้งานสำหรับ Digital Insurance มีอะไรบ้าง
Digital marketing ที่นำมาใช้งานสำหรับ Digital Insurance มีหลายวิธีการที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น
- Social media marketing: การโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Twitter, Instagram เพื่อเพิ่มความรู้สึกและความสนใจในผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยผ่านการโพสต์ภาพและวิดีโอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยและชีวิตประจำวันของผู้คน
-
Content marketing: การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยเพื่อเพิ่มความรู้สึกและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยใช้เนื้อหาในรูปแบบของบทความ, วิดีโอ, และภาพเคลื่อนไหว เพื่อเป็นการแนะนำและอธิบายผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้เข้าใจง่าย
-
Search engine optimization (SEO): การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาผลิตภัณฑ์ประกันภัยบนเครื่องมือการค้นหา เพื่อให้ผู้ค้นหาเจอผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกันภัยได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
-
Email marketing: การส่งอีเมล์เพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของบริษัทประกันภัยหรือลิงค์ต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัย
-
Mobile marketing: การโฆษณาผ่านโทรศัพท์มือถือเพื่อเข้าถึงกลุ่Social media marketing: การโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเช่น Facebook, Twitter, Instagram เพื่อเพิ่มความรู้สึกและความสนใจในผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยผ่านการโพสต์ภาพและวิดีโอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยและชีวิตประจำวันของผู้คน
ข้อดีข้อเสียของ Digital Insurance
ข้อดีของ Digital Insurance:
– ความสะดวกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการ: ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังสำนักงานของบริษัทประกันภัย
– ระบบดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ: การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยลดระยะเวลาในการทำรายการ ลดความซับซ้อนและความซ้ำซ้อนในการจัดการข้อมูล และลดความผิดพลาดในการป้อนข้อมูล
– ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ: การทำธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัลช่วยลดต้นทุนในการจัดการธุรกิจ เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่าใช้จ่ายในการจัดการที่ต่างๆ
ข้อเสียของ Digital Insurance:
– ความไม่มั่นคงในการใช้เทคโนโลยี: การใช้เทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญในการให้บริการดิจิทัล แต่อาจมีการเกิดปัญหาเมื่อเทคโนโลยีไม่ทันสมัยหรือไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
– ความเสี่ยงในการเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย: การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเปิดโอกาสให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัย เช่น การโจมตีไซเบอร์ การแฮกคอมพิวเตอร์