เรื่องนี้จะเป็นเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์เชิงเมืองและเหตุการณ์สำคัญ เช่นโรคระบาดโควิด-19 และความขัดแย้งในยูเครน รวมถึงปัญหาทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับการจัดการโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความสำเร็จในธุรกิจ นอกจากนี้ เรื่องการเปลี่ยนแปลงในวิถีการดำเนินงานและการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ การที่ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายจะต้องพึ่งพาแรงงานมากขึ้นในการดูแลเครื่องจักรและการบรรจุผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลให้การดำเนินงานทางธุรกิจมีความยุ่งเหยิงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีการเพิ่มขึ้นของการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่ส่งผลให้กระบวนการทำงานระยะไกลเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นเวลาที่เห็นการเกิด “การลาออกครั้งใหญ่” จากพนักงานสูงวัยและผู้ที่เกษียณอายุ เรื่องเหล่านี้ส่งผลให้ธุรกิจหน้าสนใจต้องเผชิญความท้าทายในการหาแรงงานเพียงพอต่อความต้องการ
หากไม่มีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะส่งผลให้มีตำแหน่งงานว่างมากถึง 85 ล้านตำแหน่งในปี 2573 ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในลักษณะต่างๆ ยกเว้นยังไม่เกิดขึ้นจริง มูลค่าของตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นไปได้ถึง 8.452 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่สิงคโปร์และฮ่องกงอาจมีส่วนร่วมอยู่ที่ 5.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ
ด้วยสถานการณ์ที่มีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น รวมถึงความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้า การต้องการงานเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่แน่นอน โดยเฉพาะในกระบวนการหยิบจับวัสดุ (pick and place) ที่รวมถึงการจัดส่งสินค้า ที่ต้องเร่งรีบเพื่อลดความผิดพลาด การใช้เทคโนโลยีในการควบคุมการเคลื่อนไหวและหุ่นยนต์กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการจัดการในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการนำเอาการพัฒนาทางด้าน AI และหุ่นยนต์มาใช้ในการทำงานหยิบจับวัสดุอัตโนมัติ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการทำงานและการจัดการในสายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ผู้ผลิตอาจพิจารณาใช้ ‘โคบอท (Cobot)’ เพื่อช่วยในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในกระบวนการการทำงานที่ซับซ้อนในระดับสูง
หุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกับมนุษย์
บรรดานักเขียนไซไฟ ได้เคยทำนายเกี่ยวกับ ‘การมาของหุ่นยนต์’ ไว้นานแล้ว โดยมีเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนที่กล่าวไว้ล่วงหน้าถึงไฮเปอร์แมชชีนที่มีความเป็นอัจริยะ ซึ่งนอกจากจะทำให้มนุษย์ล้าหลังแล้ว มันยังเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้สร้างอีกด้วย โชคดีที่ในความเป็นจริง เรื่องราวยังดำเนินไปในเชิงบวกมากกว่า
โคบอท (Cobot) หรือ ‘หุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน (collaborative robot)‘ คือ ระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติที่ล้ำหน้า (next-generation automation robotics systems) ที่ ‘ทำงานร่วมกับมนุษย์’ ‘ไม่ได้มาแทนที่มนุษย์’ ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็ก ตั้งโปรแกรมง่าย และมีฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยอยู่ในตัว ซึ่งระบบเหล่านี้สามารถยกระดับประสิทธิภาพ ให้ความยืดหยุ่น และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับพนักงาน ด้วยกระบวนการผลิตที่แม่นยำและสม่ำเสมอ เช่น การหยิบวาง ซึ่งโคบอท สามารถทำงานหนักซ้ำๆ ได้ อีกทั้งทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ จึงช่วยลดการบาดเจ็บและเพิ่มความปลอดภัยโดยรวมให้กับพนักงาน
โคบอท จะทำงานผสานรวมกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่งของภาคอุตสาหกรรม (Industrial internet of Things) หรือ IIoT ซึ่งนับเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญสู่ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในอุตสาหกรรม ซึ่ง IIoT ประกอบไปด้วย เซ็นเซอร์ เครื่องมือต่างๆ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เชื่อมโยงเครือข่ายที่สำคัญเข้าไว้ด้วยกัน อาทิ การผลิต การบริหารจัดการพลังงาน การดูแลสุขภาพ ตลอดจนการบินและอวกาศ โดยให้ศักยภาพการทำงานที่สูงกว่า ทั้งประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และมีความปลอดภัยมากขึ้นในพื้นที่การผลิต ซึ่งนอกจากโคบอทจะช่วยเพิ่มผลผลิตแล้ว ยังช่วยลดเวลาหยุดทำงานที่เกิดจากการขาดแคลนแรงงานอันเป็นสาเหตุให้โรงงานมีต้นทุนการผลิตสูงถึง 20% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ โคบอทยังให้ประโยชน์ในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลได้อีกด้วย
การใช้โคบอท ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถให้เวลาอิสระแก่พนักงานได้ทำงานที่มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น หรืองานประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้นกับพนักงานและเป็นงานมีคุณค่าต่อบริษัท นำไปสู่ความพึงพอใจในงานมากขึ้น การวิจัยของ Statista คาดการณ์ว่าตลาดโลกด้านหุ่นยนต์อุตสาหกรรมจะมีอัตราการเติบโตต่อปี (compound annual growth rate) หรือ CAGR 26% ภายในปี 2568 โดยโคบอท ช่วยปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานในสายอุตสาหกรรมที่จับต้องได้ในประเด็นต่อไปนี้
โคบอท และความท้าทายด้านซัพพลายเชน
ในรายงานล่าสุดเกี่ยวกับผู้นำด้านซัพพลายเชน Gartner พบว่าธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน คือธุรกิจที่นำเทคโนโลยีมาใช้โดยให้คนเป็นศูนย์กลางในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ดังนั้น โคบอท จึงมีบทบาทที่ชัดเจน และเป็นบทบาทเร่งด่วนในการช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านแรงงาน ที่เกิดจากวิกฤตของภาคการผลิตในปัจจุบัน โชคดีที่มีเทคโนโลยีพร้อมให้ใช้งานมากขึ้น
FORTNA (ชื่อเดิมคือ MHS Global) ผู้ให้บริการระดับโลกด้านระบบออโตเมชั่นในการจัดการวัสดุและการวางระบบ ได้นำโซลูชันหุ่นยนต์ตัวใหม่มาใช้ในการปฏิรูปเพื่อสร้างประสิทธิภาพให้กับศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งหุ่นยนต์เดลต้า PacDrive 3 ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในการหยิบและวางได้มากถึง 2,000 ชิ้นต่อชั่วโมง (PPH) ในฉากทัศน์ที่เป็น brownfield และสูงถึง 2,500 PPH ในฉากทัศน์ที่เป็น Greenfield
เคล็ดลับความสำเร็จของโคบอทขั้นสูงหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน อยู่ที่การเขียนโปรแกรมเพื่อให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด แทนการตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อให้หยิบวัตถุเดิมอย่างต่อเนื่อง โดยโคบอทขั้นสูงจะควบคุมซอฟต์แวร์ computer vision และอัลกอริทึม เพื่อทดสอบแต่ละไอเทมพร้อมกำหนดจังหวะในการหยิบจับได้ตามระยะที่ต้องการ จากนั้นส่วนที่เป็นถ้วยดูดแบบสูญญากาศ กริปเปอร์ ซึ่งเป็นตัวจับ และแขนจับก็จะทำการหยิบ พร้อมจัดระเบียบแต่ละไอเท็มให้พร้อมสำหรับกระบวนการสุดท้าย (downstream processing)
ประโยชน์ของการใช้งานมีมากมาย และมักจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่องค์กรให้ความสำคัญ ตัวอย่างเช่น หนึ่งในการทรานส์ฟอร์มสู่ดิจิทัล ผู้ผลิตกระเบื้องหินมุงหลังคารายหนึ่ง ล่าสุดได้มีการนำระบบหุ่นยนต์มาช่วยในการจัดเรียงกระเบื้อง ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนคนงานแล้ว ยังช่วยเพิ่มกำลังการผลิต อีกทั้งช่วยให้คนทำงานหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บจากการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ ได้
สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การที่สามารถบรรลุผลลัพธ์ทั้งหมดได้เลยในปัจจุบัน กระนั้น นี่เป็นแค่เพียงตัวอย่างเล็กๆ ของประโยชน์ที่มีอยู่อีกมากมาย
การทำงานร่วมกับซอฟต์แวร์
ด้วยศักยภาพในตัวเอง ทำให้โคบอทสามารถเป็นส่วนเสริมที่สร้างคุณค่าให้กับการดำเนินการในอุตสาหกรรมต่างๆ และยิ่งผสานรวมกับเครือข่ายเทคโนโลยีอัจฉริยะในวงกว้างขึ้น ก็จะช่วยปลดล็อกข้อมูล และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยปฏิรูปในเรื่องของผลผลิต ให้ความคล่องตัว และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น อีกทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีแก่พนักงานในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก
แพลตฟอร์ม IIoT แบบเปิด ที่สามารถปรับขยายการทำงานได้และให้ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล จากหลายไซต์งานรวมถึงแผนกงานต่างๆ จากนั้นก็จะแสดงภาพข้อมูลตามเวลาจริงบนแดชบอร์ด ทั้งข้อมูลการปฏิบัติงานในตำแหน่งงานเฉพาะ รวมถึงฟังก์ชั่นงาน และแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อช่วยให้พนักงานและผู้บริหารสามารถตัดสินใจโดยมีข้อมูลสนับสนุน ซึ่งเป็นขุมพลังในการขับเคลื่อน เพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานและให้ผลกำไรที่ดีขึ้น
อนาคตของการปฏิรูปกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัล
ท้ายที่สุดแล้วระบบออโตเมชั่นด้านอุตสาหกรรม สามารถสร้างพลังในการปรับปรุงประสิทธิภาพงานในทุกระดับ และยังช่วยให้พนักงานที่ไซต์งานมั่นใจได้ว่า การมีโคบอทช่วยให้ตัวเองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ได้เข้ามาเพื่อทำงานแทนที่ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถผสานรวมเข้ากับโครงสร้างพื้นฐาน และทำงานร่วมกับพนักงานได้อย่างราบรื่น โดยพนักงานให้การยอมรับกับการปรับปรุงประสิทธิภาพได้ในทันที
ผู้ปฏิรูปสู่ดิจิทัลรายแรกๆ กำลังเห็นถึงประโยชน์ที่สามารถวัดผลได้ ตัวอย่างเช่น ในสิงคโปร์ ความมุ่งมั่นระยะยาวของรัฐบาลในการลงทุนกับเทคโนโลยีดิจิทัลรุ่นล่าสุด ทั้งหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ แมชชีนเลิร์นนิ่ง อินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (IoT) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ และการประมวลผลแบบคลาวด์ ยังคงเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศใกล้จะบรรลุเป้าหมายการเป็น Smart Nation ปัจจุบันสิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีระบบอัตโนมัติมากเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งได้แรงหนุนจากวิสัยทัศน์ Economy 2030 ในการเพิ่มมูลค่าการผลิต 50% ภายในปี 2030
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ด้วยการผสานรวมระหว่างมนุษย์ โคบอท และซอฟต์แวร์อัจฉริยะ ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาการหยุดชะงักของแรงงานและกำลังการผลิตในปัจจุบันแล้ว ยังช่วยปกป้ององค์กรจากความท้าทายในอนาคตอีกด้วย
หุ่นยนต์คืออนาคตที่แท้จริง และเป็นไปในเชิงบวกมากกว่าที่นิยายวิทยาศาสตร์ได้เคยคาดการณ์กันไว้